TATG ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์แบบปั๊มขึ้นรูปโลหะ และ Tooling มีประสบการณ์ในธุรกิจยานยนต์มาตั้งแต่ปี 2531 พร้อมฐานลูกค้าค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นชั้นนำในประเทศ ด้านการดำเนินงาน Turnaround YoY เป็นกำไร 45 ล้านบาท ในงวด 1H67 ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดโมเมนตัมยังต่อเนื่อง หนุนกำไรปี 2567-68 มาอยู่ที่ 98 ล้านบาท (+110% YoY) และ 109 ล้านบาท (+11% YoY) ตามลำดับ มองว่าทำได้ดีกว่า AH, SAT และ STANLY ซึ่ง Bloomberg Consensus (ณ 26 ส.ค. 67) ประเมินทั้ง 3 บริษัท มีกำไรปกติงวดปี 2567 ลดลง YoY            

พร้อมเข้าระดมทุน IPO เพื่อนำเงินทุนไปใช้ในการสร้างการเติบโตในอนาคต โดยจะขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มุ่งเน้นขยายตลาดในกลุ่มลูกค้าโรงพยาบาล เพื่อรองรับความต้องการบริโภคยาสำหรับรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เพิ่มสูงขึ้น และสร้างแบรนด์ของคนไทยให้ก้าวออกสู่ตลาดโลก ประเมินราคาเหมาะสมอิงวิธี DCF ให้ราคาเหมาะสมที่ 24 บาท 

หากเทียบกับบริษัทที่จดทะเบียนใน ตลท. มีเพียงข้อมูลของ SNNP ที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าขนมขบเคี้ยวที่ทำจากเนื้อสัตว์ (ปลา และปลาหมึก) ซึ่งคาดว่ามี PER ปี 2567 ที่ 21.4 เท่า โดยมีคาดการณ์การเติบโตของกำไรปี 2567 19.5% ซึ่งต่ำกว่า CHAO ที่คาดว่าจะมีกำไรปี 2567 โตราว 29% เราจึงประเมินราคาเป้าหมายสำหรับ CHAO ที่ 16.30 บาท (อิง PER ที่ 23.5 เท่า, มีพรีเมี่ยม 10% จาก PER ของ SNNP)  

เนื่องจากไม่มีบริษัทใน ตลท. ที่ผลิตสินค้าคล้ายกับ NEO เราจึงเทียบกับบริษัทต่างประเทศที่มีสินค้าใกล้เคียงกัน ซึ่งพบว่ามีค่ามัธยฐานของ PER ปี 2567 ที่ 24.2 และการเติบโตของกำไรปี 2567 ที่ 8.3% ซึ่งสูงกว่า NEO ที่คาดว่าจะมีกำไรปี 2567 โต 7.6% เราจึงประเมินราคาเป้าหมายสำหรับ NEO ที่ 51.0 - 58.0 บาท (อิง PER ที่ 16.9 - 19.4 เท่า, มีส่วนลด 20% - 30% จากบริษัทที่คล้ายกันในต่างประเทศ)

ปี 2566 คาดว่าบริษัทจะมีกำไรลดลง 7% YoY เหลือ 191 ล้านบาท ตามการชะลอตัวของสินค้าไอทีทั่วโลก และเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นช้า แต่คาดกำไรจะกลับไปโตได้อีกครั้งในปี 2567 เป็น 266 ล้านบาท (+40% YoY) จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว บวกกับนโยบายของบริษัทที่จะรุกการขายสินค้าไอทีแก่ลูกค้าองค์กร และสินค้าสมาร์ทโฟน (Apple) ที่มีมาร์จิ้นสูง ทั้งนี้เรากำหนดราคาเป้าหมายปี 2567 ของ ADVICE ที่ 7.05 บาท (อิง PER ที่ 16.4 เท่า ซึ่งมีส่วนลดเกือบ 40% จากค่า PER ของหุ้นกลุ่มพาณิชย์ที่ปัจจุบันซื้อขายด้วย PER อยู่ที่ราว 26.6 เท่า)  

คาด NAT จะมีกำไรปี 2566 – 2567 ที่โตได้เฉลี่ย 38% จากรายได้ที่สูงขึ้น ตามโครงการรับเหมาวางระบบ ICT ที่คาดจะได้รับมากขึ้น เราประเมินราคาเป้าหมายสำหรับปี 2567 ของ NAT ไว้ที่ 7.00 บาท (อิง PER ที่ 12 เท่า) ขณะที่บริษัทคู่แข่งอย่าง GABLE และ ITNS ที่มีค่า PER ปี 2567 ที่ราว 9 - 10 เท่า และมีคาดการณ์กำไรปี 2567 โต 20% - 21% ซึ่งต่ำกว่า NAT ที่เราคาดว่าจะมีกำไรปี 2567 โต 57%  

ETL พร้อมเข้าระดมทุนใน SET หมวดขนส่งและโลจิสติกส์เพื่อนำเงินไปลงทุนใน     รถลากจูงและรถกึ่งพ่วง ประกอบกับลงทุนในลานตู้คอนเทนเนอร์และต่อยอดการเติบโตธุรกิจด้วยการลงทุนในตู้คอนเทนเนอร์ควบคุมอุณหภูมิ (cold chain) ผลักดันกำไร 2567 – 2568 เติบโตเฉลี่ยปีละ 25% ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมอิง PER 17 เท่าได้ราคาเหมาะสมปี 2567 ที่ 2.50 บาท

เนื่องจากไม่มีบริษัทใน ตลท. ที่ทำธุรกิจคล้ายกับ TAN เราจึงเทียบกับบริษัทในต่างประเทศที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกัน ซึ่งพบว่ามีค่าเฉลี่ย PER ปี 2567 ที่ราว 18.9 เท่า โดยมีคาดการณ์ EPS ปี 2567 โตเฉลี่ย 15% ซึ่งต่ำกว่า TAN ที่เราคาดว่าจะมี EPS ปี 2567 โตถึง 51% จากยอดขายและมาร์จิ้นที่สูงขึ้น รวมทั้งดอกเบี้ยที่จะลดลงหลังนำเงินจาก IPO บางส่วน ไปจ่ายคืนหนี้ เราจึงประเมินราคาเป้าหมายปี 2567 ของ TAN ที่ 22.50 บาท – 23.40 (อิง PER ที่ 24.5 – 25.5 เท่า)

SINO พร้อมเข้าระดมทุนใน SET หมวดขนส่งและโลจิสติกส์เพื่อนำเงินไปขยายพื้นที่บริการรับฝากตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ ประกอบกับลงทุนในบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้านโลจิสติกส์ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจ Freight Forwarding ประเภทต่างๆ ผลักดันกำไร 2567 – 2568 เติบโตเฉลี่ยปีละ 36% ประเมินราคาเหมาะสมอิง PBV 1.95 เท่า ได้ราคาเหมาะสมปี 2566 ที่ 2.28 บาท

SAV พร้อมเข้าระดมทุนใน SET หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ เพื่อนำเงินไปชำระหนี้สินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการ หลังจากที่ชำระเงินกู้คืนทั้งหมด SAV จะมีฐานะการเงินแข็งแกร่งโดยมีสถานะเป็น Net Cash สามารถจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ตลอดอายุสัมปทานที่เหลืออีก 28 ปี ประเมินมูลค่ากิจการด้วยวิธี DCF ได้มูลค่าตลาด 16,000 ล้านบาท

พร้อมเข้าระดมทุน IPO ในตลาด SET เพื่อนำเงินไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับการเติบโตในอนาคต มองหาโอกาสลงทุนใหม่ๆที่จะสร้างการเติบโตทั้งในรูปแบบ Organic growth และ Inorganic Growth  ประเมินราคาเหมาะสมอิง PER 20 เท่า ให้ราคาเหมาะสมที่ 8.00 บาท

คาดกำไรสุทธิปี 2565 จะลดลง 46% yoy ผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ และแนวโน้ม Credit cost ปี 2565 ปรับสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดกำไรสุทธิปี 2566-67 จะพลิกกลับมาเติบโตถึง 57% yoy และ 25% yoy ผลบวกจากการซื้อหนี้เข้ามาในปี 2564-65 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทยอยเก็บหนี้ได้มากขึ้น และแนวโน้มการประหยัดต่อขนาด กำหนด Fair value ปี 2566 เท่ากับ 3.70 บาท

คาดกำไรปี 2565-2567 ขยายตัวสูงเฉลี่ยปีละ  47% โดยจะมีกำไรเพิ่มเป็น 212-356 ล้านบาท ตามลำดับ จากงานบริการที่เพิ่มขึ้นในทุกส่วนธุรกิจ ตามการเปิดโครงการใหม่ และคอนโดฯ ใหม่ที่สร้างเสร็จพร้อมโอนฯ เพิ่มต่อเนื่อง รวมถึงสมมติฐานหลัง IPO จะมีการเข้าซื้อกิจการ หนุนต่อการเติบโตปี 2566 โดยฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมสิ้นปี 2566 ที่ 18.50 บาท (อิง PER 19 เท่า)

คาดกำไรสุทธิปี 2565-67 จะเติบโต 48% yoy 11% yoy และ 15% yoy ตามลำดับ จากแนวโน้มปริมาณขายอาหารและขนมสัตว์เลี้ยงปรับเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงโลก และการประหยัดต่อขนาด กำหนด Fair value ปี 2566 ของ ITC อยู่ระหว่าง 36-37.50 บาท อิง PER 24-25 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยหุ้นอาหารสัตว์เลี้ยงต่างประเทศ

แนวโน้มกำไรสุทธิปี 2565-67 จะเติบโต 7% yoy 36% yoy และ 15% yoy ตามลำดับ จากการขยายสาขา เน้นขายสินค้า margin สูง และเน้นปล่อยสินเชื่อมากขึ้น กำหนด Fair value ปี 2566 เท่ากับ 2.80 บาท

แนวโน้มกำไรสุทธิปี 2565-67 ของ SGC จะเติบโต 9% yoy, 43% yoy และ 36% yoy ตามลำดับ จากการเร่งปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถบรรทุกมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้ผลบวกจากแนวโน้มค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงหลังจากได้เงินระดมทุนจาก IPO กำหนด Fair Value ปี 2566  เท่ากับ 6.20 บาท

KJL พร้อมเข้าระดมทุนในตลาด MAI หมวดสินค้าอุตสาหกรรม เพื่อนำเงินไปลงทุนขยายกำลังการผลิต และติดตั้ง solar rooftop เพื่อลดต้นทุนพลังงานไฟฟ้าประกอบกับก่อสร้าง KJL Innovation Campus ผลักดันกำไร 2565 – 2567 เติบโตเฉลี่ยปีละ 10.3% ประเมินราคาเหมาะสมอิง PER 16 เท่า ได้ 16.0 บาท

KLINIQ ดำเนินธุรกิจให้บริการดูแลผิวพรรณ ศัลยกรรมตกแต่ง ภายใต้แบรนด์ “THE KLINIQUE” ที่เน้นลูกค้ากลุ่มอายุ 25ปี -55 ปี ให้มีความงามในแบบฉบับของตน และเพิ่งเปิดตัวแบรนด์ใหม่ คือ “L.A.B.X” (รองรับกลุ่มวัยรุ่น ผู้เริ่มต้นทำงาน) ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรตลอด แม้เผชิญกับโควิด 19 โดยกำไรเติบโตจาก 115 ล้านบาท ในปี 2562 เป็น 129 ล้านบาท ในปี 2564

คาดกำไรปี 2565 – 2567 กำไรเพิ่มขึ้นเป็น 725 ล้านบาท – 1 พันล้านบาท หรือเติบโตได้ด้วยอัตราเฉลี่ย 19% เพราะคาดธุรกิจหลักได้แรงหนุนกระแสความนิยมเลี้ยงสัตว์มากขึ้น บวกกับการที่บริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตของอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกเพิ่มอีก 56% จากปี 2564 เป็น 56,000 ตัน/ปี ภายในปี 2567 ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเป้าหมายปี 2566 สำหรับ AAI ที่ 7.40 บาท (อิง PER 18.2 เท่า)  

ระดมทุน IPO เพื่อใช้ในโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนที่ได้รับคัดเลือก 3 โครงการรวมถึงชำระคืนเงินกู้ และเป็นทุนหมุนเวียนภายในบริษัท โดยทิศทางกำไรปกติปี 2565-66 เติบโตราว  10.2%yoy และ 1.5% yoy ตามลำดับ จากการรับรู้โครงการที่ COD ปี 2564 เต็มปีและดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง ทั้งนี้คาดจะเห็นการเติบโตชัดเจนอีกครั้งในปี 2567 อีกราว 75.0%yoy จากการ COD โรงไฟฟ้าขยะชุมชนทั้ง 3 โครงการ  ประเมิน FV ณ สิ้นปี 2566 อยู่ที่ 2.5 บาท/หุ้น อิงวิธี DCF และ sum of the part ซึ่งคิดเป็น forward PER ปี 2565-66 ที่ 24.0x และ 23.5x ตามลำดับ

แนวโน้มกำไรสุทธิปี 2565-66 ของ TEGH จะเติบโต 45% yoy และ 15% yoy จากแนวโน้มปริมาณขายยางพาราและน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้น และราคาขายยางพาราปรับเพิ่มขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการขยายกำลังการผลิตของ TEGH โดยกำหนด Fair value ปี 2565 เท่ากับ 6 บาท และ Fair value ปี 2566 เท่ากับ 6.90 บาท อิง PER 8 เท่า และสามารถคาดหวัง Div yields ได้ราว 3-4% ต่อปี

ปี 2565 – 2567 คาดกำไรโตเฉลี่ยสูงถึง 79% ตามการเติบโตของเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของทั้งอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และอสังหาริมทรัพย์ บวกกับการที่บริษัทมีแผนการเพิ่มพื้นที่ขาย/พื้นที่เช่า ในสาขาเดิม 2 แห่ง ในปี 2565 และเปิดสาขาใหม่ที่ จ.อุดรธานี ในช่วงต้นปี 2567 ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 สำหรับ CHIC ที่ 1.22 บาท (DCF, WACC 9.15%)  

แนวโน้มกำไรสุทธิปี 2565-66 จะเติบโต 28.6% yoy และ 13.0% yoy จากธุรกิจประกันชีวิตฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ และธุรกิจลงทุนทยอยฟื้นตัว อานิสงค์จากทิศทาง Bond Yields ขาขึ้น กำหนดมูลค่าพื้นฐานปี 2565 (Market Capitalization) อยู่ระหว่าง 218,966-235,809 ล้านบาท  

STP พร้อมเข้าระดมทุนในตลาด MAI เพื่อนำเงินไปสร้างอาคารโรงงานและขยายกำลังการผลิต ผลักดันกำไรปี 2565 – 2567 เติบโตเฉลี่ยปีละ 9.4% ประเมินราคาเหมาะสมอิง PER 16 เท่า ได้ 21.00 บาท

ให้ FV ปี 2565 ที่ 5.3 บาท บน PER 25 เท่า เทียบเท่า PEG 1 เท่า ถือว่าอนุรักษ์นิยมกว่ากลุ่มฯ ที่ซื้อขายบน PEG 1.4 – 2.8 เท่า ขณะที่แนวโน้มการขยายตัวของกำไร PLUS ช่วง 3 ปีข้างหน้า เด่นกว่ากลุ่มฯ ที่มี CAGR ไม่เกิน 20% (อิง Bloomberg Consensus ณ 29 มี.ค. 65)  

แนวโน้มกำไรสุทธิปี 2565-66 ของ KCC จะเติบโตถึง 32% yoy และ 94% yoy จากการซื้อ NPLs เข้ามาบริหารมากขึ้น หนุนแนวโน้มรายได้ดอกเบี้ยรับเติบโตโดดเด่น กำหนด Fair value ปี 2565 เท่ากับ 5.40 บาท

ระดมทุน IPO เพื่อขยายกิจการและเตรียมลงทุนในธุรกิจใหม่ รวมถึงใช้หมุนเวียนและชำระคืนหุ้นกู้ในบางส่วน โดยทิศทางกำไรปี 2565-66 เห็นการเติบโตเฉลี่ย 36.0%/ปี ประเมิน FV ปี 65 อิง PER 27.5 เท่าอยู่ที่ 15.0 บ./หุ้น

ระดมทุน IPO เพื่อนำเงินไปซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการใหม่เชิงรุก หวังผลักดันการเติบโตมากขึ้นในอนาคต โดยประเมินกำไรปี 2564-2566 เติบโตเฉลี่ยปีละ 29% CAGR ภายใต้ PER 8 เท่า FV สิ้นปี 2565 เท่ากับ 4.60 บาท

MAKRO มุ่งที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจค้าปลีกค้าส่งอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภคในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังควบรวม Lotus’s สร้างโอกาสทางธุรกิจ จากอุตสาหกรรมทั้งภูมิภาคที่ฟื้นตัวหลังผ่านช่วง COVID ขับเคลื่อนด้วยจุดแข็งเรื่องระบบออนไลน์+อาหารสด และเครือข่าย 2,300 สาขา ซึ่งจะรวมเป็นแรงขับเคลื่อนผลประกอบการให้เติบโตก้าวกระโดด

MAKRO มีแผนที่จะขยายธุรกิจยกระดับความเป็นผู้นำ โดยเฉพาะในโลกอนาคตที่อุตสาหกรรมจะอยู่ในภาพ Omnichannel ภายใต้โครงสร้างการเงินแข็งแกร่ง คาดกำไรสุทธิปี 2564-66 โตเฉลี่ย 68.1% ต่อปี มูลค่ากิจการที่เหมาะสมอยู่ที่ 576,027 – 656,976 ล้านบาท ด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF)

HL ประกอบธุรกิจหลักเป็นร้านขายยาและสินค้าที่เกี่ยวข้อง ภายใต้จุดเด่นประสบการณ์ 28 ปี จึงมีสายสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์หลากหลาย, ความสามารถกำหนดที่ตั้งสาขา และการบริหารที่เป็นระบบ ที่ผ่านมาเติบโตสูงกว่าผู้ประกอบการที่มีสาขาและรายได้ใกล้เคียงกลุ่มบริษัท ขณะที่โอกาสธุรกิจยังสูง ทั้งอุตสาหกรรมโตปีละ 4%-5% ขณะที่โครงสร้างตลาดยังกระจายตัว

เงิน IPO จะใช้รองรับการขยายสาขาอีก 3 ปีปีละ 4-5 สาขา จากที่มี 25 สาขา เพิ่มส่วนแบ่งตลาด คาดกำไรปี 2564-66 โตถึงปีละ 36.2 % มูลค่าหุ้นปี 2565 อิง DCF (WACC 8.2%, growth 3%)  อยู่ที่ 13.7 บาท เทียบเท่า PER’65 ที่ 32.4 เท่า ใกล้ค่าเฉลี่ยกลุ่มค้าปลีก+การแพทย์ (ไม่รวม รพ.ต่างชาติ)

พร้อมเข้าระดมทุน IPO ใน SET กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ เพื่อนำเงินไปลงทุนพัฒนาศักยภาพในการผลิตรายการและเพิ่มงบประมาณผลิตรายการ และพัฒนาขีดความสามารถด้านระบบ IT รวมถึงนำไปชำระคืนเงินกู้ ผลักดันกำไรปี 2564-2566 เติบโตเฉลี่ยปีละ 19.7%  

UBE มุ่งสร้างการเติบโตในผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังออร์แกนิค และผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคอื่นๆที่มี margin สูง รวมถึงต่อยอดไปยังผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปบรรจุห่อ (packaging foods) อีกทั้งมุ่งสร้างความเป็นผู้นำในตลาดแป้งมันสำปะหลังระดับโลก ส่วนธุรกิจเอทานอลเน้นรักษาส่วนแบ่งตลาดจากความได้เปรียบด้านต้นทุน พร้อมแสวงหาโอกาสลงทุนอื่นๆเพื่อพัฒนาสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีมูลค่าสูงออกสู่ตลาด สร้างการเติบโตของกำไรในระยะยาว

ระดมทุน IPO เพื่อนำเงินไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนและขยายกิจการ ประกอบกับชำระคืนเงินกู้ในบางส่วน โดยแนวโน้มกำไรปกติปี 2564-66 เติบโตเฉลี่ย 67% CAGR ประเมิน FV ปี 2565 อิง PER 25.91 เท่า อยู่ที่ 2.90 บาท/หุ้น

BBIK ประกอบธุรกิจเป็นที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญ Digital Transformation ที่พัฒนาจากกลยุทธ์ทางธุรกิจ ภายใต้จุดแข็งบุคลากรที่เชี่ยวชาญทั้งธุรกิจและเทคโนโลยี จนเป็นที่ยอมรับขององค์กรขนาดใหญ่ระดับประเทศหลายแห่ง จึงพร้อมเติบโตไปกับกระแสหลักแห่งอนาคตในเรื่อง Digital Transformation ซึ่งประเมินอุตสาหกรรมเติบโตสูงเกินปีละ 15%

SNC ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงรับจ้างประกอบชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า (OEM) ซึ่งบริษัทฯ คาดได้รับออเดอร์ในกลุ่ม OEM เพิ่มจาก 0.81 ล้านยูนิตในปี 2563 เป็น 3.4 ล้านยูนิตในปี 2568 ส่งผลให้บริษัทต้องลงทุนขยายกำลังการผลิต มูลค่าลงทุน 1.155 พันล้านบาท นำมาสู่การระดมทุน PO ไม่เกิน 112.22 ล้านหุ้น (28.1% ของหุ้นหลัง PO ที่ 400 ล้านหุ้น)

บนสมมติฐานอนุรักษ์นิยม คาดกำไรปี 2564 - 65 เท่ากับ 469 ล้านบาท และ 535 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มเฉลี่ย 15% yoy จากออเดอร์ใหม่ในกลุ่ม OEM นอกจากนี้ SNC มีจุดเด่นจาก Div Yield สูงราว 5-6%

เงิน IPO จะใช้รองรับปริมาณงานที่เข้ามาในอนาคต และลงทุนเป็นผู้ให้บริการระบบรางสายรอง (Feeder Line) และ Smart Cities ภายใต้สมมติฐานไม่รวมโครงการให้บริการ คาดกำไรปี 2564-66 เติบโตเฉลี่ยปีละ 16.8% มูลค่าหุ้นปี 2564 อิง PER 25 เท่า อยู่ที่ 8.0 บาท ส่วนปี 2565 จะเพิ่มเป็น 9.7 บาท

STECH พร้อมเข้าระดมทุน IPO ใน SET กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เพื่อนำเงินไปขยายกำลังการผลิตและชำระคืนเงินกู้ ผลักดันกำไรปี 2564-66 เติบโตเฉลี่ยปีละ 17% ประเมินราคาเหมาะสมอิง PER 15 เท่า ได้ 3.38 บาท 

Mega Project จำนวนมากที่กำลังทยอยเกิดขึ้น เพิ่มโอกาสในการขยายกองยานรถขนส่งของ MENA รองรับการเติบโตของลูกค้ากลุ่มโรงงานปูนซีเมนต์และคอนกรีตผสมเสร็จ คาดผลักดันกำไรปี 2564-66 เติบโตเฉลี่ยปีละ 16% ประเมินราคาเหมาะสมปี 2565 อิง PER 22 เท่า ได้ 1.45 บาท 

ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Cyber Security ชั้นนำจากทั่วโลก มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ พร้อมสร้างรายได้ต่อเนื่อง ภายใต้แนวโน้มอุตสาหกรรมที่คาดหมายเติบโตสูงปีละ 15% และสร้างโอกาสในการขาย Software พัฒนาขึ้นเอง ด้วยเงินทุน IPO หนุนกำไรปี 2564-66 เติบโตปีละ 67.8%  

DMT ประกอบธุรกิจบริหารโครงการสัมปทานทางยกระดับดอนเมือง มีระยะทางรวม 21 กม. โดดเด่นด้วยรายได้ที่มั่นคงจากอายุสัญญาถึงปี 2577 และมีอัตราเงินปันผลที่สูงกว่า 5% สอดคล้องกับนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 90% ของกำไรสุทธิ ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF เท่ากับ 20 บาท

ผู้จำหน่ายเครื่องมือแพทย์ในห้องฉุกเฉิน ที่มีความพร้อมเติบโตนับจากนี้ จากแผนให้บริการเช่าเครื่องมือแพทย์ และเสริมด้วยเจาะตลาดผู้ป่วยโรคหยุดหายใจขณะหลับ ประเมินกำไรปี 2564 – 66 เติบโตเด่นเฉลี่ยปีละ 19.1% มูลค่าพื้นฐานปี 2564 อิง PER’64 ที่ 21 เท่า อยู่ที่ 9.1 บาท

NSL ผู้ผลิต Sandwich ที่มี MOU กับทาง CPALL ถึงปี 2569 คาดทำให้รายได้ 5 ปีต่อจากนี้ เติบโตอย่างมั่นคงและสม่ำเสมอ นอกจากนี้เตรียมขยายไปยังธุรกิจอาหารพร้อมรับประทาน ภายหลังระดมทุนแล้วเสร็จ คาดสนับสนุนกำไรปกติปี 2564 – 65 เติบโตเฉลี่ย 27% yoy   

ผู้ให้บริการ Data Center แถวหน้าที่มีฐานลูกค้าหลักในอุตสาหกรรมเติบโตสูง คือ เกมส์, E-Commerce พร้อมแล้วที่จะยกระดับการเติบโตด้วยเงิน IPO เสริมฐานทุน ลดภาระหนี้ สร้างความพร้อมเพิ่มกำลังให้บริการ คาดส่งกำไรปี 2564-66 เติบโตเฉลี่ย 51% ต่อปี

Backlog รวม 7.85 พันล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มตามแผนเปิดโครงการใหม่มูลค่า 2.12 หมื่นล้านบาทในปี 2564-66 จะเข้ามาสร้างความแข็งแกร่งของรายได้มากยิ่งขึ้น โดยการโอนฯ คอนโดฯ ใหม่ และมีมาร์จิ้นสูง คาดผลักดันกำไรปี 2564 เติบโต 24% และต่อเนื่องเฉลี่ย 8% ปี 2565-2566

KISS มีจุดแข็งด้านนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและความงามด้วยยอดขายอันดับ 1 ในหลายผลิตภัณฑ์ โดยผู้บริหารมีประสบการณ์ด้าน Beauty กับ FMCG โดยตรง อีกทั้ง กระแสความนิยมด้านความสวยความงามและผลิตภัณฑ์ K-beauty ทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพเติบโตอีกมากทั้งในไทยและอาเซียน

Backlog ที่สะสมรวม 9.44 พันล้านบาท จะเข้ามาสร้างการเติบโตของรายได้ตั้งแต่ 4Q63-2566 โดยการโอนฯ คอนโดฯ ใหม่คาดผลักดันกำไร 4Q63 สูงสุดของปี และมากกว่า 9M63 ที่ 195 ล้านบาท หนุนทั้งปี 2563 สู่ระดับ 524 ล้านบาท ก่อนเพิ่มเป็น 628 ล้านบาทปี 2564

ผู้รับเหมาเชี่ยวชาญทั้งไฟฟ้า+ไอซีที ประสิทธิภาพกำไรโดดเด่น และสามารถชนะงานใหม่ต่อเนื่อง พร้อมแล้วที่จะยกระดับการเติบโตด้วยเงิน IPO ที่จะใช้สนับสนุนการส่งมอบงานที่มี และงานใหม่จำนวนมากจากโครงการลงทุนระยะยาว คาดจะเป็นแรงส่งกำไรปี 2564-65 เติบโตเฉลี่ย 84.6% ต่อปี

ผู้ผลิตฉลากสินค้าฟิล์มหดรัดรูป ที่ได้รับความนิยมมาก เพราะมีคุณสมบัติที่ดีกว่าฉลากกระดาษและสติ้กเกอร์ทั่วไป ลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่มและเครื่องสำอาง จึงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวจำกัด พร้อมเข้าระดมทุน IPO เพื่อขยายโรงงานใหม่ รองรับการเติบโต

ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ผู้ใช้รถบรรทุกหันมาใช้รถมือสองมากขึ้น สอดคล้องกับแผนการลงทุน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่งผลบวกโดยตรงต่อ MICRO ซึ่งเร่งขยายสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง หลังระดมทุน IPO หนุนแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2563-65 เติบโต 29% p.a. (CAGR)

การระบาดของ COVID-19 หนุนความต้องการใช้ถุงมือยางเติบโตโดดเด่น ส่งผลบวกโดยตรงต่อ STGT ที่ได้ขยายกำลังการผลิตไว้แล้วในปี 2563     อีกทั้ง ยังสามารถปรับเพิ่มราคาขายถุงมือยางตาม Demand ที่เพิ่มขึ้นได้อีกด้วย หนุนแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2563-65 เติบโตถึง 71.9% p.a. (CAGR) 

ลักษณะธุรกิจ : เป็นบริษัทแกนหลักของกลุ่ม จิราธิวัฒน์ ในฐานะ Holding Company ที่ลงทุนธุรกิจค้าปลีก โดยมีธุรกิจค้าปลีกฯ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มแฟชั่น (30.3% ของยอดขาย) 2) กลุ่มฮาร์ดไลน์ (28.5% ของยอดขาย) และ 3) กลุ่มอาหาร (41.2% ของยอดขาย) 

บริษัทบริหารสินทรัพย์ ที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 เสนอขายหุ้น IPO ที่ 17.50 บาท คิดเป็น PER เบื้องต้น 8 เท่า (อิงกำไร 4 ไตรมาสย้อนหลัง) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่สูงกว่า 28 เท่า แต่แนวโน้มกำไรสุทธิปี 2563 มีโอกาสลดลง จากการเสียสิทธิประโยชน์ทางภาษี ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของกำไรต่ำกว่าคู่แข่งในระยะยาว

YGG ผู้ให้บริการคอมพิวเตอร์กราฟิกแนวหน้าของประเทศด้วยทีมงานที่มีฝีมือและประสบการณ์สูง ผ่านการสร้างสรรค์ผลงานที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะในตลาดจีน การระดมทุนจาก IPO ครั้งนี้ จะช่วยยกระดับ YGG และสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง 

หนึ่งในผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนสัญชาติไทยที่มีประสบการณ์มากว่า 16 ปี พร้อมนำเงิน IPO ไปลงทุนเพื่อให้เติบโตระยะยาว รวมถึงขยายฐานลูกค้าไปกลุ่ม Food มากขึ้น จากที่ปัจจุบันฐานลูกค้ากลุ่ม Non-Food แข็งแกร่งอยู่แล้ว โดยทิศทางกำไรคาดจะกลับมาเติบโตตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป 

APP ผู้นำโซลูชั่นด้านการออกแบบครบวงจร จุดเด่นคือการได้สิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่ายซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ชั้นนำของโลกในไทยและอินโดนีเซีย พร้อมโอกาสเติบโตไปกับเทรนด์เทคโนโลยีและการลดลงของอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ คาดกำไรปี 63-65 เติบโตเฉลี่ย 17%

ลักษณะธุรกิจ: ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ ภายใต้ร้าน .life และเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ Apple ผ่านร้าน iStudio by Copperwired, Ai_ (Apple Intuition, ร้าน Apple ขนาดใหญ่), U-store และ iServe รวมถึงธุรกิจค้าส่งสินค้าอุปกรณ์ทันสมัย

ผู้รับเหมางานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่พร้อมเติบโตไปกับภาวะอุตสาหกรรมขาขึ้น ภายใต้แรงหนุนจากฐานมั่นคงด้วยลูกค้าเอกชนยักษ์ใหญ่ ขณะที่ผลงานกับภาครัฐฯ ยังเป็นที่ยอมรับต่อเนื่อง และถือเป็นกลุ่มสำคัญ ที่มี TPS จะต่อยอดด้วยเงิน IPO ซึ่งคาดหนุนกำไรปี 2562-64 เติบโตเชิงรุกได้ถึงปีละ 34%

บริษัทฯ เป็นผู้ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจโรงแรมใน 5 ประเทศ โดยฝ่ายวิจัยคาดปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2563 บริษัทฯ พลิกมีกำไร      541 ล้านบาท และโตต่อ 42% ในปี 2564 จากการ Ramp up โรงแรมใหม่ 2 แห่ง ที่มัลดีฟส์       

รูปแบบการดำเนินธุรกิจ BOS สามารถสร้าง Net Margin จากการขายโครงการสูงเฉลี่ย 46% ปัจจุบันอยู่ในช่วงลงทุน 8 โครงการใหม่  ส่วนใหญ่เปิดปี 2564 ทำให้ช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 2562-2564) คาดขาดทุน ก่อนเริ่มมีกำไรปี 2565 หลังทุกโครงการเปิดบริการเต็มรูปแบบ

ผู้ผลิตและจำหน่ายวัตถุที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารมานานกว่า 34 ปี ทำให้ได้รับการยอบรับจากลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหารทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยคาดกำไรปี 2562 ขยายตัว 7% yoy และเด่นชัด 21% yoy ในปี 2563 จากการเดินเครื่องโรงงานผลิตใหม่ที่เวียดนามและอินโดฯ ตั้งแต่ 1Q63

ผู้รับเหมางานโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ที่มีจุดเด่นความครบวงจรและคุณภาพโดดเด่น จนได้รับงานสม่ำเสมอจากผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น TRUE CAT TOT หนุน Backlog สะสม 2.7 พันล้านบาท ซึ่งคาดเงิน IPO ที่ใช้สนับสนุนการส่งมอบงาน จะหนุนกำไรปี 2562-64 เติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 15.0%

เป็นผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง วัสดุก่อสร้าง ซ่อมแซม และสินค้าตกแต่งบ้าน ครบวงจร ภายใต้ร้าน DOHOME และ Dohome To Go เข้า IPO ที่ราคา 7.8 บาท คิดเป็น PER ย้อนหลัง 4 ไตรมาส อยู่ที่ 26.9 เท่า แม้ต่ำกส่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม (HMPRO, GLOBAL) ที่ 31.7 เท่า แต่สอดคล้องผลประกอบการปัจจุบันที่ยังมีความผันผวน ไม่มั่นคงเช่นคู่แข่ง

ผู้นำธุรกิจร้านค้าปลีกจำหน่ายสินค้าเรื่องบ้านครบวงจร บวกกับ การปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาการเติบโต โดยการขยายฐานรายได้ใหม่ และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำกำไร คาดจะช่วยหนุนกำไรปี 2563-64 ให้เติบโตปีละ 8.3% แม้แนวโน้มอุตสาหกรรมเติบโตช้าลง ตามการแข่งขันที่มากขึ้น และภาวะเศรษฐกิจ

Backlog ที่สะสมรวม 6.35 พันล้านบาท จะเข้ามาสร้างความแข็งแกร่งของรายได้ตั้งแต่ปี 2562-2565 คาดผลักดันกำไรปี 2562 เติบโตสู่ระดับ 500 ล้านบาท ก่อนเพิ่มเป็น 846 ล้านบาทปี 2564 หรือขยายตัวเฉลี่ย 35% ต่อปี ทำให้ ALL เป็น Growth Stock ขนาดเล็กของกลุ่มอสังหาฯ ที่น่าสนใจ

บริษัทนายหน้าประกันภัย ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิ ปี 2561-63 เติบโตเฉลี่ยกว่า 25% p.a.  ที่ราคาเสนอขาย IPO ที่ 23 บาท เทียบกับคาดการณ์ EPS ปี 2562 มี Prospective PER เบื้องต้นเท่ากับ 14.7 เท่า สูงกว่ากว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ราว 13 เท่า  (คำนวณจากค่าเฉลี่ย PER ปี 2562 ของหุ้นประกันภัยที่ฝ่ายวิจัย ASPS ศึกษา ได้แก่ BKI, BLA, THREL) สะท้อนแนวโน้มธุรกิจที่เป็นไปในเชิงรุกระดับหนึ่งแล้ว

STI ที่ปรึกษาวิศวกรรมก่อสร้างประสบการณ์สูงและมีความเชี่ยวชาญคุมงานก่อสร้างหลากหลายอุตสาหกรรม เข้าระดมทุนเพื่อลงทุนพัฒนาด้านบุคลากรและเทคโนโลยี เพิ่มศักยภาพการแข่งขันและรองรับปริมาณงานที่มากขึ้นด้วยกำไร 3 ปีข้างหน้าที่เติบโตโดดเด่น CAGR 27%

ผู้ประกอบธุรกิจโรงเรียนนานาชาติมานานกว่า 17 ปี มีจุดเด่นจากรายได้เป็น Recurring Income และมีศักยภาพการเติบโต ตามแนวโน้มปริมาณนักเรียนในอนาคตที่เพิ่มขึ้น และการประหยัดจากขนาดมากขึ้น โดยคาดกำไรปี 2561 และ 62 ขยายตัวเด่นชัด 4 เท่า และ 75% YoY ตามลำดับ  

รพ. ที่ตั้งบนทำเล New CBD มีความสามารถในการรักษาโรคซับซ้อนโดยเฉพาะการผ่าตัดเปลี่ยนไต ระดมทุนเพื่อนำไปก่อสร้างอาคารใหม่ ขยาย Capacity เพิ่มเกือบเท่าตัวภายในปี 65 และวางกลยุทธ์ขยายฐานผู้ป่วยทั้งชาวไทยและต่างชาติจากความได้เปรียบด้านการกำหนดค่ารักษา

ผู้ผลิตเครื่องดื่มบำรุงกำลังและของใช้ส่วนบุคคล มีจุดเด่นที่ตราสินค้ามี Brand Loyalty สูง วัดจากส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 จากข้อมูล Frost & Sullivan ตั้งแต่ปี 2556 ขณะที่ประสิทธิภาพทำกำไรเหนือคู่แข่ง คาดผลักดันกำไรปกติปี 2562 เติบโต 20% yoy และมี Norm Profit Margin 12% 

ผู้ให้บริการจัดหาบริการขนส่งครบวงจร ที่มีฐานธุรกิจแข็งแกร่งด้านขนส่งเรือเส้นทางแถบเอเชีย พร้อมแล้วที่จะยกระดับการเติบโตธุรกิจ ด้วยเงิน IPO ที่จะใช้สนับสนุนแผนการสร้างการเติบโตบริการจัดการขนส่งทุกประเภท ซึ่งจะเป็นแรงส่งสำคัญกำไรปี 2561-62 เติบโต 15.9% และ 28% 

ลักษณะธุรกิจ : เป็นที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมแบบบูรณาการ ตั้งแต่การริเริ่มวางแนวคิด พัฒนาโครงการ จัดทำแผนแม่บทสำหรับโครงการ ศึกษาความเหมาะสม สำรวจและออกแบบโครงการ ควบคู่ไปกับการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และยังมีบริการควบคุมงานก่อสร้างและบริหารโครงการ ตลอดจนการบำรุงรักษาอุปกรณ์และระบบตรวจวัดหลังส่งมอบโครงการ

CMAN ผู้นำธุรกิจปูนไลม์ด้วยกำลังการผลิตสูงสุดในไทยพร้อมความได้เปรียบในการแข่งขันเนื่องจากเป็นผู้ผลิตรายเดียวที่มีเหมืองแร่หินปูนเป็นของตัวเอง เข้าระดมทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตทั้งในประเทศและต่างประเทศ และชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน หนุนกำไรโตเฉลี่ย 3 ปี CAGR 32% 

ลักษณะธุรกิจ : ดำเนินธุรกิจหลักเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้กับผู้ผลิตทั้งฮาร์ดแวร์+ซอฟท์แวร์ระดับสากล ขณะทีธุรกิจรอง เป็นการรับจ้างผู้จำหน่ายอุปกรณ์ไอทีหลากหลายแบรนด์ให้บริการด้านเทคโนโลยี ด้านผลประกอบการหลังกำไรทรงตัวมานาน 3 ปี กำไร 9M60 กลับมาเติบโต 69%yoy จากการขยายตัวรุกสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ราคา IPO ที่ 2.88 บาท คิดเป็นค่า Trailing P/E เพียง 10.7 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 13.4 เท่า  

ลักษณะธุรกิจ : ให้บริการงานด้านทรัพยากรบุคคล (HR Solution) โดยบริษัทพัฒนาโปรแกรมระบบงานบริหารทรัพยากรบุคคลเพื่อจำหน่ายและติดตั้ง รวมถึงให้บริการรับช่วงบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลและการจัดทำเงินเดือน (HR and Payroll Outsourcing) นอกจากนี้ให้บริการด้านการบริหารจัดการ บัญชีและการเงิน (Financial Solution) ผ่านการจำหน่ายและให้บริการติดตั้งระบบ ERP ของ SAP และให้บริการจัดทำบัญชีและการเงิน (Accounting and Finance Outsourcing)

ลักษณะธุรกิจ : ดำเนินธุรกิจให้บริการทางการแพทย์ทั้งในและต่างประเทศ และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น รับจ้างบริหารโรงพยาบาล การรักษาพยาบาลนอกสถานที่ และจำหน่ายยาและเครื่องเวชภัณฑ์ เป็นต้น โดยในอนาคตจะเปิดบริการศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วย รวมถึงโครงการบริบาลและบ้านพักผู้สูงอายุ

ลักษณะธุรกิจ : ให้บริการการจัดงานแสดงสินค้า โดยงานแสดงสินค้าที่สำคัญของบริษัท ได้แก่ งาน Bangkok International Motor Show และกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เช่น การจัดงานแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ/ออฟโรด รวมทั้งผลิตและจำหน่ายสิ่งพิมพ์

ลักษณะธุรกิจ : ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลักด้านการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า, ไอน้ำ, น้ำเย็น และธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่ที่สุดของประเทศ

ลงทุนกรรมสิทธิ์อาคารคลังห้องเย็นและคลังสินค้าไม่เกิน 2.2 พันล้านบาท มาจากเงินขายหน่วยทรัสต์ 1,550 ล้านบาท และกู้ไม่เกิน 665 ล้านบาท หลังจากนั้นนำพื้นที่มาปล่อยเช่าและมีสัญญาเช่าระยะยาว ทำให้กองทรัสต์มีรายได้ค่าเช่าแน่นอน คาด Div Yield เฉลี่ย 7% สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ

ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้ารองเท้าและเครื่องแต่งกายแนวกีฬา Converse ด้วยโครงสร้างการเงิน  
Net Cash และเงินจาก IPO เปิดโอกาสการลงทุน คาดกำไร 2 ปีข้างหน้าเติบโตเฉลี่ย 18% ต่อปี กำหนด FV ที่ PER 2561 อิงค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ บวกพรีเมี่ยมจากการเติบโตที่โดดเด่น ที่ 22 เท่า ได้ราคา 8.1 บาท

SKN ผู้ผลิตแผ่นไม้ MDF รายใหญ่แห่งภาคตะวันออก เข้าระดมทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตอีก 1เท่าตัว รองรับ Demand ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หนุนกำไรปี 2561-2562 เติบโตก้าวกระโดด จุดเด่นอยู่ที่ประสิทธิภาพการทำกำไรที่สูงเป็นอันดับต้นๆ พร้อมเปลี่ยนสถานะเป็น Net Cash หลังขายการหุ้น IPO

ผู้รับเหมาวางระบบไอซีทีขนาดเล็ก แต่โดดเด่นที่ประสบการณ์และความสามารถผู้บริหาร หนุนให้มีความพร้อมในการเติบโตไปกับอุตสาหกรรมกลับมาสดใส แต่ปัจจุบันยังขาดเพียงเงินทุนหมุนเวียนสนับสนุน การรับงานใหม่ๆ นำมาสู่การระดมทุนครั้งนี้ เพื่อหนุนกำไรสุทธิใน 3 ปีนี้เติบโตก้าวกระโดดปีละ 47.7% 

เป็นผู้นำทางด้านการขนส่งน้ำมันและปิโตรเคมี ซึ่งปริมาณขนส่งในอุตสาหกรรมเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.7%  ทำให้การใช้บริการเรือ PRM เต็มกำลังการบริการ จึงต้องระดมทุนเพื่อขยายกองเรือ เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดและหนุนการเติบโตในระยะยาว โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 32% ใน 3 ปีนี้

ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ระดับอาเซียนที่มีฐานการผลิตในไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย รวมถึงมีลูกค้าครอบคลุมค่ายรถยนต์ชั้นน้ำระดับโลกเกือบทุกค่าย และยังมีพันธมิตรทางธุรกิจทั้งญี่ปุ่นและมาเลเซียเสริมทัพความแข็งแกร่ง คาดกำไรปกติปี 2560 และ 2561 เติบโต 81% และ 16% ตามลำดับ

FTE เป็นหนึ่งในผู้นำด้านระบบดับเพลิงในประเทศไทย มีจุดเด่นหลายประการ และมีแนวโน้มที่จะเติบโตตามอุตสาหกรรมการก่อสร้าง โดยฝ่ายวิจัยคาดกำไรปี 2560 และ 2561 จะเติบโตโดดเด่นที่ 34% และ 9% YoY ตามลำดับ และกำหนด Fair Value อิง PER 19.5 เท่า ได้ที่ 3.80 บาท

ด้วยมาตรฐานการให้บริการที่ดี และมีหลายใบรับรองการันตีคุณภาพ ส่งผลให้ D มีลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หนุนอัตราการทำกำไรให้สูงกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ โดยเงินที่ได้จาก IPO ครั้งนี้ จะนำไปชำระคืนเงินกู้ และลงทุนขยายสาขา รองรับการเติบโตไปตามอุตสาหกรรมที่มีอนาคตสดใส 

TPIPP ขึ้นแท่นผู้นำโรงไฟฟ้าขยะรายใหญ่ในประเทศ หนุนกำไรเติบโตโดดเด่นกว่า 92% p.a. ในช่วง 2 ปีข้างหน้า (ภายใต้สมมติฐานผ่าน EIA/EHIA) อีกทั้งยังมีจุดแข็งจากการเป็นลูกของ TPIPL รวมถึง PER ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯที่ฝ่ายวิจัยศึกษา จึงถือเป็นอีกตัวเลือกที่น่าจับตามองในกลุ่มพลังงานทดแทน

วิสัยทัศน์ของทีมผู้บริหารที่มากด้วยฝีมือทั้งในแวดวงยานยนต์และการเงินที่มาผนึกรวมกัน เชื่อมั่นว่าจะผลักดันให้ ASAP ขึ้นแท่นผู้นำนวัตกรรมรถยนต์ให้เช่าได้ในไม่ช้า ด้วยบริการนำเสนอพร้อมธุรกิจต่อยอดที่ฉีกจากบริการเดิมๆ บนต้นทุนและราคาที่ถูกลง เป็นอีกตัวเลือกลงทุนกลุ่มรถเช่าที่เด่นมากยามนี้          

SQ ประกอบธุรกิจบริการงานเหมืองแร่ครบวงจร โดยมีความเชี่ยวชาญการทำเหมืองถ่านหินแบบบ่อเปิด จุดเด่นคืออยู่ในอุตสาหกรรมที่มีคู่แข่งน้อยราย และมี Backlog เป็นหลักประกันรายได้ช่วง 10 ปีข้างหน้า พร้อมเข้าจดทะเบียนใน SET หวังระดมทุน เพิ่มศักยภาพสู่ความเป็นผู้นำในระดับอาเซียน  

Outlet รายแรกของประเทศไทย ชูจุดเด่นทำเลจังหวัดท่องเที่ยวทุกสาขา และต้นทุนที่ต่ำ ช่วยหนุนประสิทธิภาพการทำกำไรสูงเป็นอันดับต้นของกลุ่ม กลยุทธ์นับจากนี้เป็นการขยายสาขาเฉลี่ยปีละ 2 สาขา ในปี 2560-2561 และเพิ่มพื้นที่เช่าทั้งสาขาเก่าบางแห่งและสาขาใหม่ โดยดึงจุดเด่นของผู้เช่ารายใหม่เป็นจุดขาย หนุนกำไรปี 2560-61 เพิ่มเฉลี่ยปีละ 40%

ผู้นำธุรกิจโปรแกรมบริหารงานโรงแรม ที่มุ่งต่อยอดบริการใหม่สู่ทุกธุรกิจภาคท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมชูโรงของประเทศ โดยเริ่มต้น ซื้อกิจการศักยภาพสูง MSL ที่พร้อมช่วยหนุนกำไร 3 ปีนี้ให้เติบโตปีละ 34.3% ขณะที่ยังพร้อมนำเงิน IPO ที่ได้ไปหาโอกาสลงทุนในกิจการใหม่ๆ มาเสริมอีก

รุกธุรกิจโซลาร์ชัดเจนทั้งในประเทศไทย และญี่ปุ่น ต่อยอดการเติบโตของรายได้จากโครงการในมือที่จะทยอยรับรู้อย่างมีสเถียรภาพ หนุนกำไรขึ้นทำ new high ได้ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 และให้ DivYield เกือบ 4%p.a. เป็นอีกตัวเลือกลงทุนที่ดีในกลุ่มโรงไฟฟ้า 

ในสภาวะเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในภาวะผันผวน การลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าเป็นตัวเลือกที่ดี ซึ่ง BPP ถือเป็นบริษัทที่น่าจับตามองจากการเติบโตโดดเด่นเหนือกลุ่มโรงไฟฟ้าตาม backlogs ที่อยู่ในมือ และคาดหวัง upside จากการลงทุนใหม่ๆได้ไม่ยาก อีกทั้งมีนโยบายจ่ายปันผลขั้นต่ำที่ 50%