กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ BUY AND HOLD หุ้น 3 ธีม คือ หุ้นรับงบประมาณปี 67 ที่เร่งเบิกจ่ายในช่วง 6 เดือน CK, SCCC, BJC, KBANK, หุ้นรับวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง MTC, หุ้น HIGH SEASON กำไรปี 67 โตเด่นกว่าตลาด PTTGC, BGRIM

กลยุทธ์การลงทุน แม้ EPS67F ล่าสุดจะถูกปรับลงบริเวณ 92 ถึง 94 บาท/หุ้น กดดันตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่ดัชนีปัจจุบันยังห่างจากกรอบดัชนีเป้าหมายปี 2567 ที่ 1580 – 1620 จุด พอสมควร แนะนำ BUY AND HOLD เพื่อก้าวข้ามความผันผวนในช่วงสั้นๆ เลือกหุ้น 3 ธีม คือ หุ้นรับมาตการภาครัฐ AOT BDMS CPN SCCC หุ้นเตรียมรับวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง SPALI MTC หุ้นหวังเศรษฐกิจจีนฟื้น PTTGC

ในมุม Valuation เบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯ เห็น DOWNSIDE จาก EPS67F ราวๆ 3 – 4% หรือ EPS67F จะลดลงมาอยู่ที่ 96 – 97 บาท/หุ้น ภายใต้ MEYG ที่ระดับ 3.3% อิง P/E 17.24 เท่า จะได้กรอบดัชนีเป้าหมายปี 2567 บริเวณ 1650 – 1670 จุด สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นปันผลสูง ADVANC, AP, PTTEP, SPALI, TTB และหุ้นอิงการท่องเที่ยว AOT, BDMS หวังจะ OUTPERFORM ตลาดได้ในช่วงเวลาถัดไป

สถิติในอดีต บ่งชี้ว่า ในเดือน ม.ค. SET Index มักปรับตัวขึ้นได้ดี พร้อมด้วยมูลค่าซื้อขายที่คึกคักขึ้น กลยุทธ์ประจำเดือนแนะนำ BUY & HOLD ในหุ้นเติบโตเด่น CK, GULF, AMATA, CRC หุ้นปันผลสูง LH, TU, PTTEP, INTUCH ส่วนเป้าหมายดัชนีปลายปี 2567 ประเมินไว้ที่ 1717 จุด  

กลยุทธ์ประจำเดือน ธ.ค. แนะนำ BUY & HOLD โดยกระจายการลงทุนให้หุ้นพื้นฐานดี ในหลากหลาย SECTOR อย่าง TISCO, WHA, ADVANC, GULF, CPALL, PLANB, BH, PTTGC ส่วนเป้าหมายดัชนียังคาดหวังจะกลับไปแตะ 1500 จุดปลายปี และ 1717 ในปีหน้า 

กลยุทธ์ประจำเดือน พ.ย. แนะนำเอาชนะตลาดด้วยการ BUY & HOLD โดยกระจายการลงทุนให้หุ้นพื้นฐานดี ที่แอบซ่อนอยู่ในหลากหลาย SECTOR อย่าง CPN, ERW, BH, MAJOR, WHA, CPALL, TIDLOR

แนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานเด่น ราคาน่าสะสม และมีปัจจัยเฉพาะตัวหนุนให้มีโอกาสฟื้นตัวเด่นกว่าตลาด อย่าง AOT, SCGP, PTTEP, TOP, BCPG, TU, III

กลยุทธ์การลงทุนในเดือน ก.ย. เลือกหุ้นที่ได้ SENTIMENT บวกในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง และแนวโน้มกำไรฟื้นตัวต่อเนื่อง อย่าง  JMART, BJC, CK, BEM, BBL, AMATA,TOP

สำหรับกลยุทธ์เดือน ส.ค. แนะนำหุ้น 3 ธีม

1. หุ้น CHINA PLAY คือ ERW, SCGP

2. หุ้น ELECTION PLAY คือ GPSC, CK, SIRI

3. หุ้น EARNING MOMENTUM PAY คือ PLANB, SNNP

SET Index ที่ย่อตัวลงมาแรงกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น เดือน ก.ค. แนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานดีราคาลงลึก พร้อมกับมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว คือ 1. กำไร 2Q66 ฟื้นเด่น IVL, BEM, JMT 2. หุ้นได้รับอานิสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากจีน SCGP, ERW, III, SCB ส่วนหุ้น Tactical Short Sell แนะนำ BCP และ LPN

กลยุทธ์การลงทุนเดือน มิ.ย. ในยามที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงการปรับจูน ต้องพิถีพิถันในการเลือกหุ้น โดยแบ่งหุ้นเด่นออกเป็น 3 ธีม คือ

หุ้นพื้นฐานดีราคาลงมาลึก GULF BEM CRC
หุ้นปันผลเด่น KTB
หุ้นกำไร 2Q65 เด่น MINT TTCL

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำสะสมหุ้นสภาพคล่องสูง (เป็นเป้าหมายของ Fund Flow) บวกกับกำไรมีแนวโน้มผ่านจุดเลวร้าย (Bottom Out) อย่าง ADVANC, AMATA, BGRIM, SNNP, JMT, STEC ส่วนหุ้น Tactical Short Sell เดือน นี้เลือกหุ้นที่ขึ้นมาเยอะจน Upside เริ่มจำกัด คือ CENTEL, DELTA

กลยุทธ์การลงทุนเดือน มี.ค. ภายใต้ Valuation ตลาดหุ้นไทยที่เริ่มตึงมากขึ้น รวมถึง Fund Flow ชะลอการไหลเข้า การเลือกหุ้นลงทุนจำเป็นจะต้องพิถีพิถันมากขึ้น แนะนำสะสมหุ้นกำไรงวด 4Q65 ผ่านจุดเลวร้าย (Bottom Out) และฟื้นตัวต่อในช่วง 1Q66 อย่าง IVL, BGRIM, BLA, JMT รวมถึงหุ้นอิงการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศ ที่มีกำไรฟื้นตัวต่อเนื่อง CRC, CBG, AP

กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้มมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวกับ 3 ธีม 1. หุ้นรับกระแสเลือกตั้ง :  ADVANC, BBL, PLANB, PYLON 2. หุ้น China Play : CENTEL, NER และ 3. หุ้นกำไรเติบโตเด่น SAPPE

ฝ่ายวิจัยประเมินดัชนีเป้าหมายปี 2566 ช่วงแรกอาจขึ้นไปได้ถึง 1740 จุด และช่วงหลังจะชะลอตัวลงอยู่ที่ 1667 จุด กลยุทธ์การลงทุน แนะนำเลือกหุ้นมีปัจจัยหนุน 3 ธีมเด่น  คือ 1). Domestic Consumption: STEC, COM7, GULF 2). China Play: AOT 3). Dividend Play: AP, ASK

ในมุม Valuation ตลาดหุ้นไทย ยังดูน่าสนใจ เนื่องจากมี Market Earning Yield Gap. ที่ระดับ 4.3% แม้ภาพรวม SET Index จะมี Upside ไม่มาก จากกรอบดัชนีเป้าหมายปี 2565 ที่วางไว้ 1685–1720 จุด

กลยุทธ์การลงทุน เน้นกลุ่ม Domestic Consumption แนวโน้มเติบโตยังสดใสกว่าภาพรวมตลาด อย่าง COM7, MTC, TISCO, BEC, SCGP, GULF

หุ้นเด่นเดือน พ.ย. แนะนำหุ้นธีม Domestic Consumption หลีกเลี่ยงความผันผวนจากปัจจัยภายนอก บวกกับผลประกอบการทยอยฟื้นตัวในงวด 4Q65 ต่อเนื่องปี 2566 อย่าง CBG, CRC, CK, BBL, PLANB, GULF, SCGP

หุ้นเด่นเดือน ต.ค. แนะนำหุ้น Domestic หลีกเลี่ยงความผันผวนจากปัจจัยภายนอก ADVANC, ASK, BBL, BEM, CENTEL, HMPRO, GULF คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1550 -1670 จุด และเป้าหมาย SET Index ปลายปี 2565 ที่ 1730 จุด

กลยุทธ์การลงทุนเดือน ก.ย. 65 แนะนำทยอยสะสม 7 หุ้นกำไรไฉไลในช่วง 2H65 คาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด คือ TIDLOR, M, HMPRO, CK, CKP, PLANB, SCB

กลยุทธ์การลงทุนเดือน ส.ค. 65 แนะนำทยอยสะสมหุ้น 3 กลุ่มที่คาดว่าจะ Outperform ตลาดได้ คือ 1) หุ้นกลุ่มเปิดเมือง CENTEL, BEM, CRC 2) หุ้นได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาขึ้น KTB 3) หุ้นย่อตัว แนวโน้มกำไรดีขึ้นแรงกดดันลดลงตามลำดับ GPSC TRUE KCE

ฝ่ายวิจัยทำการประเมินดัชนีรองรับแรงกดดันในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นในระดับต่างๆ ทำให้นักลงทุนสามารถประเมินกรอบการเข้าสะสมหุ้น เพื่อหวังผลในระยาวได้ง่ายขึ้น ซึ่งกรณีเลวร้ายสุด หากกนง.มีการขึ้นดอกเบี้ยทุกการประชุมใช่วงที่เหลือของปี (ขึ้น 0.75%) จะกดดันให้ P/E ที่เหมาะสมในการซื้อขายลดลงจาก 20.36 เท่า เหลือ 17.66 เท่า เมื่อนำมาคูณกับ EPS65F 88.9 บาท/หุ้น จะได้ระดับดัชนีรองรับแรงกดดันที่ 1570 จุด ดังนั้นหาก SET Index ลงมาต่ำกว่านี้ ถือเป็นจุดที่น่าทยอยสะสมหุ้น และกลยุทธ์การลงทุนเดือน ก.ค. 65 แนะนำทยอยสะสมหุ้น 3 กลุ่มที่คาดว่าจะ Outperform ตลาดได้ คือ 1) หุ้นกลุ่มเปิดเมือง CENTEL, BEM, CRC, CPN 2) หุ้นมีเกราะป้องกันเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาขึ้น KTB, TRUE 3) หุ้นได้ประโยชน์บาทอ่อนค่า CPF

กลยุทธ์การลงทุนเน้น Selective Buy และกระจายการลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัวหนุน อย่าง หุ้นเปิดเมืองผันผวนต่ำ BH CPALL, หุ้นกำไรไตรมาส 2 เด่น IVL GPSC, หุ้นมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว BLA (ได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาขึ้น), VNG (ได้ประโยชน์บาทอ่อน), INSET (Upside เปิดกว้าง น่าทยอยสะสม)

เดือน เม.ย. ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET 1660 – 1750 จุด สำหรับกลยุทธ์เอาชนะตลาด แนะนำสะสมหุ้นฟื้นตัวตามเศรษฐกิจในประเทศ MAJOR, AEONTS หุ้นได้แรงหนุนจากต้นทุนอิงตามราคา Commodity เริ่มชะชอลง GPSC, SAPPE และหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานแข็งแกร่ง SCC, LH

กลยุทธ์เดือน มี.ค. 2565 ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index  1,655–1,750 จุด แนะสะสมหุ้นโตๆ...วิ่งแรงๆ คือ หุ้นขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มกำไรฟื้นตัวเด่นหลังจากนี้ พร้อมกับคาดหวังเม็ดเงินต่างชาติหนุน อย่าง SCC, AOT, KBANK, DTAC, BJC, GPSC และ M

ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินเป้าหมาย SET Index ปี 2565 ภายใต้ EPS65F 81.8 บาท/หุ้น ที่ระดับ MEYG เฉลี่ย 3.9% และ Bond Yield 1 ปี ในกรอบ 0.5% - 0.62% (ช่วงที่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์) จะได้กรอบเป้าหมายดัชนีที่ 1809 – 1860 จุด

กลยุทธ์เน้นสะสมหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตเด่น STEC, IVL, SMT รวมถึงหุ้นปันผลเด่น AP, TISCO (จ่ายปันผลปีละ 1ครั้ง) และ SCC, ADVANC  (จ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง)

กลยุทธ์เดือน ธ.ค. เป็นช่วงติดตามสถานะการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด พร้อมกับรอสัญญาณโควิดดีขึ้น แล้วกลับเข้ามาสะสมหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตในปี 2565 โดดเด่นกว่าตลาด แนะนำ กลุ่ม Earning Growth + Laggard ADVANC, TIDLOR, THANI, CPALL กลุ่มธุรกิจผ่าน Bottom Out STEC, M, KBANK, DOHOME ส่วนหุ้น Overvalue ต้องซื้อขายหรือเก็งกำไรด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากปรับตัวขึ้นมาแรงในช่วงก่อนหน้า และฝ่ายวิจัยฯ ให้คำแนะนำ “Switch” อย่าง AIT, ITD

กลยุทธ์เดือน 11 เตรียมช้อปหุ้นเด็ด แนะนำสะสมหุ้น Restart Economy : HMPRO, TIDLOR, KBANK,  ERW รวมถึงหุ้นกำไรฟื้นเด่นจากปัจจัยเฉพาะตัว : KCE, DCC คาดมีโอกาสสูง ที่จะ Outperform ตลาดฯ  

กลยุทธ์แนะสะสมหุ้นในธีม  Re-Economy และ Restructure คัดหุ้นเข้าออก SET50-100 เตรียมรับการเติบโตที่ต่อเนื่องในปี 2565 พร้อมกับกระจายการลงทุนในหลากหลาย Sector อย่าง ADVANC, AEONTS, CPALL, CPN, KBANK และ TOP

กลยุทธ์ในการเอาชนะตลาดในเดือน ก.ย. ต้องเน้นหุ้นที่มีผลประกอบการช่วงที่เหลือของปีโดดเด่น มีปัจจัยเฉพาะตัวหนุน โดยฝ่ายวิจัยฯ แบ่งธีมการลงทุนหลักๆ ออกเป็น 3 ธีม 7 หุ้นเด่น คือ หุ้น Low Interest Rate : SPALI ,  JMT หุ้น Earning Momentum : SFLEX , KCE หุ้น Re-open Economy :  M, COM7, AOT

ภายใต้ความเสี่ยงต่างๆ ในเดือน ส.ค. กดดันให้การลงทุนจำเป็นต้องกระชับพอร์ต แนะนำถือเงินสดราว 20-30% ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำเลือกหุ้นงบ 2Q64 เติบโตดี พร้อมกับมีปันผลสูง (MCS, TVO, SAPPE, SAT) หรือได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ระลอกใหม่ค่อนข้างจำกัด (GPSC, JMART, DOHOME)

สรุปภาพรวมเดือน ก.ค. 2564 ตลาดเผชิญความเสี่ยงรอบด้านทั้งในและต่างประเทศ ประเมินแนวรับสำคัญ 1,510 จุด กลยุทธ์แนะนำ Selective Buy หลบความผันผวนกับหุ้นพื้นฐานดีมีแรงหนุนเฉพาะตัว อย่าง BLA, BDMS, TFG, MCS, GPSC, BJC และ CENTEL ส่วนหุ้นที่ต้องซื้อขายด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากมี Upside จำกัด อย่าง KSL, ASK

SET Index ณ ปัจจุบัน ที่ 1600 จุด มีการซื้อขายบน Market Earning Yield Cap ที่ระดับ 4% ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 3.90% แสดงว่าดัชนียังอยู่ในระดับที่น่าลงทุน และหวังขึ้นไปทดสอบดัชนีเป้าหมายที่ 1670 จุด

หุ้นเด่นประจำเดือน มิ.ย. 64 แนะนำหุ้นเปิดเมือง ราคา Laggard และมีแนวโน้มการเติบโตชัดเจนขึ้นในช่วงที่เหลือของปี AOT, BDMS, MAJOR, MINT, MTC, STEC, SAT น่าจะ Outperform ได้ดีเช่นเดียวกับหุ้น Commodity ในช่วงที่ผ่านมา

กลยุทธ์เดือน พ.ค. 64 แนะนำ 7 หุ้นมีโอกาส Outperform ตลาดสูง คือ SCC, PTTGC, MTC, ASK, MCS กำไรฟื้นเด่นในปีนี้ รวมถึงงวด 1Q64 และ ADVANC, AS เป็นหุ้นช่วยลดความผันผวนจากปัญหา COVID-19

กลยุทธ์การลงทุนเดือน เม.ย. แนะลงทุนในหุ้นสวยทั้งภายใน (Valuation ดี) และภายนอก (มีปัจจัยสนับสนุน) พร้อมกับได้ประโยชน์หากตลาดฯ เปลี่ยนวีธีการคำนวณดัชนีแบบ Free float adjusted market Cap. คือ BBL, CENTEL, BDMS, STEC, SCC, SPALI และ BLA 

กลยุทธ์เลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งที่มีโอกาสฟื้นตัวได้ดีกว่าตลาดในปี 2564 แนะนำ PTT, CPN, MINT, SPVI รวมถึงควรมีหุ้นปันผลติดพอร์ต เพื่อลดความผันผวนหรือความเสี่ยงจากต่างประเทศ แนะนำ SPALI, MCS ในทางตรงกันข้ามหุ้นที่ขยับขึ้นมาแรงจนเกินมูลค่าทางพื้นฐาน อย่าง DELTA, OR ต้องระมัดระวังในการชื้อขายหรือเก็งกำไร

กลยุทธ์การลงทุนเลือกหุ้นใหญ่พื้นฐานแข็งแกร่ง ได้แรงหนุนจาก Fund Flow ที่คาดมีกำไรเติบโตเด่นในปีนี้ (2564) อาทิ PTT SCC BDMS CPF และหุ้นปันผลสูงอย่าง TISCO MCS ในทางตรงกันข้ามหุ้นที่ขยับขึ้นมาแรงจนเกินมูลค่าทางพื้นฐาน อย่าง HANA ต้องระมัดระวังในการชื้อขาย หรือเก็งกำไร

กลยุทธ์แนะลงทุนหุ้นใหญ่ PTT, KBANK, GULF, ADVANC และหุ้นปันผลสูง AP, DCC หุ้นที่ต้องระมัดระวังในการซื้อขาย เนื่องจากเกินมูลค่าพื้นฐาน MAJOR, DELTA

กลยุทธ์เดือน ธ.ค. 63 เลือกหุ้นที่ไปกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สำหรับการลงทุนระยะยาว แนะนำหุ้นขนาดใหญ่ KBANK, BGRIM, BAM, CRC มีโอกาสได้แรงหนุนจาก Fund Flow และหุ้นขนาดเล็ก AAV, PR9 แนวโน้มการเติบโตในปี 2564 โดดเด่นสุดในกลุ่มฯ

กลยุทธ์แนะนำจัดพอร์ตลงทุน เพื่อหวังผลดีในปีหน้า โดยเลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง มีการเติบโตของกำไรที่ดีต่อเนื่อง อย่าง AP, SCC, BDMS, PTTGC, STA และ TISCO ส่วนหุ้น Overvalue ที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน คือ HANA และ BPP

Valuation เริ่มนิ่ง ด้วย Momentum ของการปรับลด EPS63F และ 64F ของ Consensus ลดน้อยลง บวกกับตลาดหุ้นมักฟื้นตัวได้ดีหลังกำไรบริษัทจดทะเบียนผ่านพ้นจุดต่ำสุด ดังนั้น Upside เริ่มเปิดกว้างขึ้น ตามเป้าหมายดัชนีปี 2564 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ 1450 จุด ถือเป็นจังหวะในการสะสมหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูก ยามตลาดปรับฐานลงมา โดยเฉพาะหุ้นที่ผ่านบททดสอบ COVID-19 ได้เป็นอย่างดี คือ ASK, DOHOME, INSET, MTC, NOBLE และ STGT ในทางตรงกันข้ามหุ้นที่ราคาเกินมูลค่าพื้นฐานไปมาก ต้องระมัดระวังในการซื้อขาย คือ MINT และ LPN

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่มีแนวโน้มกำไรโดดเด่นในช่วง 2H63 อย่าง BEM, CRC, DCC, STGT, TFG และ SVI ในทางตรงกันข้ามหุ้นที่ราคาเกินมูลค่าพื้นฐานไปมาก ต้องระมัดระวังในการซื้อขาย คือ CENTEL, HMPRO

กลยุทธ์การลงทุนในเดือน ส.ค. 2563 ต้องพิถีพิถันในการเลือกหุ้น แนะนำสะสมหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายของ Fund Flow ในระยะถัดไป ผสมผสานระหว่างหุ้นแนวโน้มกำไร 2H63 เติบโตเด่น CPALL, CPF, BEM รวมถึงปันผลสูง INTUCH, MCS, AP ส่วนหุ้นที่เกินมูลค่าพื้นฐานอย่าง PLANB และ ERW ควรซื้อขายด้วยความระมัดระวัง

กลยุทธ์การลงทุนในเดือน ก.ค. 2563 มุ่งเป้าไปที่การค้นหาหุ้นที่สามารถเอาชนะผลกระทบจากประเด็น COVID-19 ได้ทั้งในมุมราคาหุ้นที่ Outperform ตลาดได้ดีในตอนที่ตลาดเผชิญกับ COVID-19 ระบาดในระยะที่ 1 รวมถึงความสามารถในการปรับตัวและการทำกำไรที่โดดเด่นกว่าบริษัทอื่นๆในปี 2563 ประกอบด้วย 4 หุ้นขนาดใหญ่ BGRIM, CPF, CPALL, INTUCH และ 2 หุ้นเล็ก INSET, SEAFCO ส่วนหุ้นที่เกินมูลค่าพื้นฐานอย่าง AOT และ KCE ควรซื้อขายด้วยความระมัดระวัง

กลยุทธ์การลงทุนในเดือน มิ.ย. 2563 แนะจัดพอร์ตเตรียมรับความผันผวนของตลาด โดยเน้นเลือกลงทุนหุ้นที่มั่นคง มีความผันผวนต่อภาวะเศรษฐกิจต่ำ เลือก ADVANC, BCPG และ BDMS ช่วยรองรับความผันผวนจากความเสี่ยงต่างๆ ได้ดี และหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งที่ให้ปันผลสูง เลือก BBL, PTT, TVO และ TTW มีเงินปันผลเป็นเบาะรองรับความผันผวน ขณะที่หุ้น Overvalue ที่ควรใช้ความระมัดระวังในการซื้อขาย คือ DELTA เพราะมีโอกาสหลุดออกจากการคำนวณ SET50 และ SET100 ในรอบนี้ และ LPN ที่ราคาหุ้นฟื้นขึ้นมาแรง สวนทางแนวโน้มการเติบโต

กลยุทธ์การลงทุนในเดือน พ.ค. 2563 แนะจัดพอร์ตเตรียมรับความผันผวนของตลาด โดยเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่ผันผวนต่ำ ปันผลสูง อย่าง RATCH, KBANK และ DCC หุ้นที่ผลประกอบการโดดเด่นต่อจากนี้ STA, IVL, COM7 ขณะเดียวกับแนะนำหลีกเลี่ยงหุ้น Over Value อย่าง ERW และ DELTA

ฝ่ายวิจัยได้ประเมินผลกระทบจากประเด็น COVID-19 ทั้งในมุม ตัวเลขเศรษฐกิจ และประมาณการกำไร ทำให้เห็น Downside ตลาดชัดขึ้น กลยุทธ์เพิ่มน้ำหนักการลงทุน 5% และเลือกหุ้นที่ ปรับลงแรงกว่าปัจจัยพื้นฐาน และมีโอกาสปรับตัวขึ้นแรงกว่า ตลาดฯ ได้แก่ GULF, BAM, SEAFCO, TFG และ BGRIM รวมถึงหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งผันผวนน้อยอย่าง INTUCH ส่วน
หุ้นที่ราคาสูงเกิน Fair Value และมีความเสี่ยงที่จะถูกขายทำกำไร ได้แก่ TASCO และ THAI

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง แนวโน้มกำเติบโตโดดเด่นเหนือตลาด อย่าง BJCHI, CHG, CPALL, CPF, INTUCH และ MCS ส่วนหุ้นที่แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุน คือ หุ้นที่ Over Value อย่าง TKN, HANA

กลยุทธ์ลงทุนเดือนมกราคม ปี 2563 เน้นลงทุนเป็นรายบริษัท ที่มีการเติบโตโดดเด่นจากปัจจัยบวกเฉพาะตัว ได้แก่ BGRIM, PTT, LH, AP, ROBINS และ CPF

ตรงกันข้ามหุ้น Over Value ที่แนะนำหลีกเลี่ยงลงทุน คือ HANA เนื่องจากประสิทธิภาพการทำกำไรถูกกดดันจากทิศทางขาลงอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และค่าเงินบาทแข็งค่า

เน้นหุ้นกำไรเติบโตมีคุณภาพ/ปันผลสูง/หลบ Trade War 

สะสม BBL, BDMS, EASTW, GPSC, ROBINS, SCCC

เน้นหุ้นเด่น: กำไรเด่น 1Q62/ผันผวนน้อย/อิงเศรษฐกิจในประเทศ

ชอบ BBL, BCH, BGRIM, BJC, JMT, M, PTT, STEC, STPI

หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น : KBANK
หุ้นส่งออกที่ปรับตัวจากผลกระทบการค้าโลกได้ : HANA
หุ้นสาธารณูปโภค : SCC, STEC, WHA
หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภาคครัวเรือน : ADVANC, DTAC, BJC, CPALL, PLANB

 เน้นหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศ จากกระแสเลือกตั้ง

ADVANC, BJC, BGRIM, DCC, DTAC, LPN, SEAFCO, MACO

เลือกหุ้นที่ได้รับผลกระทบความเสี่ยงภายนอกและดอกเบี้ยขาขึ้นจำกัด

แนะนำ AMATA, BANPU, BBL, BJC, KBANK, LH, STEC, TPIPL

กลยุทธ์การลงทุน เลือกเป็นหุ้นรายตัว ที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว CPF,  GFPT ผลกำไรเติบโตโดดเด่น BCH, BJC, BPP, PLANB, PTTEP, WHA หรือความผันผวนต่ำ QH, SCC, SAPPE
 

กระแสลงทุนรอบใหม่ และ กระแสสังคมเมือง

ชอบ INTUCH, PTTEP, RS, PLANB, STEC, SEAFCO, WHA

ให้น้ำหนักหุ้นไทย 60% ของเม็ดเงิน  ชอบ GUNKUL, SCB, SCC, THCOM, UNIQ, VGI และ WHA

กลยุทธ์การลงทุนเน้นรายหุ้นที่มีปัจจัยหนุน AIT, GUNKUL, KKP, IRPC, IVL, LPH, SCB และ UNIQ  

หุ้นต่างประเทศ แนะนำ Ping An Insurance และ Sumitomo Mitsui กองทุนต่างประเทศ แนะนำ ASP-ASIAN และ ASPGIPLUS

หุ้นไทย : AIT, GUNKUL, IRPC, IVL, KKP, LPH, SCB, UNIQ

หุ้นต่างประเทศ : Ping An Insurance, Sumitomo Mitsui

กองทุนต่างประเทศ : ASP-ASIAN, ASPGIPLUS 

กลยุทธ์การลงทุน เน้นไปที่หุ้นที่มีหนี้สินสุทธิต่ำ หรือได้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น น่าจะปลอดภัยที่สุด นำโดย BLA และ หุ้นที่มีสถานะเงินสด (Net Cash) ได้แก่ ROBINS, LPH, AIT, STEC รวมทั้งหุ้นที่แนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่น PTTGC, WORK, SCB และ JMT

กลยุทธ์การลงทุน เลือกหุ้น Domestic Plays  ได้แก่ UNIQ, BLA, SCB, BJC ผสานกับหุ้น Dividend Plays ปันผลสูง ASK, RATCH, LH, MCS และหุ้น Energy Recovery คือ PTT หุ้นต่างประเทศ แนะนำ Starbucks, Tencent กองทุนต่างประเทศ แนะนำ ASP-S&P500, ASP-NKY225 และกองทุนตราสารผสม แนะนำ SCBGPLUS

เข้าสู่ช่วงปลายปี 2559 จึงหันไปใช้ดัชนีเป้าหมายปี 2560 จะอยู่ที่ 1,575 จุด มี upside จำกัดเพียง 5%  (บนสมมติฐาน Market Earning Yield Gap 4.75%)