คงแนะนำ Outperform จากกำไร 4Q67 จะสูงสุดของปี และประมาณการทั้งปีมีโอกาสเปิด upside, การกลับมาเติบโตของกำไรปกติปี 2568 หนุนจากแนวราบ และการส่งมอบมากขึ้นของ 2 คอนโดฯ ใหม่ที่เกิดขึ้นปลายปี 2567 และแผนลงทุนธุรกิจใหม่ (ENGINE 2) ในกลุ่มโรงแรม และคลังสินค้า คาดเข้ามาผลักดันการเติบโตในระยะกลาง-ยาว (คาดเริ่มเห็นผลมากขึ้นตั้งแต่ปี 2569)

CK เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคง ทั้งในด้านรายได้ที่มี Backlog รองรับไม่ต่ำกว่า 5 ปี อีกทั้งยังมีส่วนแบ่งกำไรและเงินปันผลที่สม่ำเสมอจากบริษัทลูกช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับผลประกอบการ ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสม 28.00 บาท 

ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2568 อยู่ที่ 8.5 บาท/หุ้น ด้วยวิธี DCF และ sum of the part ภายใต้ wacc ที่ 5.9% - 8.2% โดย WACC ที่ลดลงทุก 0.015% จากการออก Green Bond จะส่งผลให้ FV ของ BCPG เพิ่มขึ้น 0.03 บาท/หุ้น ช่วงสั้นยังขาดแรงขับเตลื่อนราคาหุ้น จากแผนลงทุนโครงการใหม่ที่ยังไม่ชัดเจน และภาพกำไร 4Q67 ที่ลดลง QoQ ประกอบกับยังมี sentiment ลบ จากการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดในไทยที่อาจล่าช้ากว่าแผน จึงคงคำแนะนำ Underperform  

แนวโน้มผลการดำเนินงานงวด 4Q67 คาดปรับตัวลดลง QoQ ตามฤดูกาลหลังจากผ่านจุดสูงสุดของปีมาแล้ว แต่คาดปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY ตามการฟื้นตัวของกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติ และอานิสงค์ความต้องการเชิงท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 36 บาท ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform

ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2568 ด้วยวิธี DCF ที่ 54 บาท/หุ้น ภายใต้สมมติฐาน WACC 5.7% แต่หากใช้ sensitiyity พบว่า ทุกๆ 0.015% ของ wacc ที่ปรับลดลงจากการออก green bond จะช่วยเพิ่ม FV ให้แก่ GPSC อีก 0.17 บาท/หุ้น ช่วงสั้นคาดยังมีแรงกดดันจากกระแสเชิงลบในการเปิดรับซื้อพลังงานสะอาดรอบ 2 ที่อาจล่าช้ากว่าแผน จึงคง Underperform รอราคาหุ้นปรับฐาน แล้วค่อยหาจังหวะทยอยสะสมลงทุนรับการฟื้นตัวของกำไรงวดใหม่ในปี 2568 

คงแนะนำ Outperform มูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 2.22 บาท นอกจากความน่าสนใจของทิศทางกำไร 4Q67 แล้ว ยังมีจุดเด่นในการลงทุน คือ ผลตอบแทนเงินปันผลจูงใจ ภายใต้คาดการณ์ 2H67 หุ้นละ 0.08 บาท หรือกว่า 4% และทั้งปีสูงกว่า 8% ต่อปี ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Norm PER เฉลี่ย 6 เท่า และ PBV 0.6 เท่า

ผลประกอบการเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ในช่วงหลายปีข้างหน้า รับผลบวกจากจำนวนผู้ใช้ทางด่วนและรถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เสริมแกร่งด้วยธุรกิจพัฒนาเชิงพาณิชย์ที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF อยู่ที่ 11.00 บาท  

เลือก CENTEL นอกจากเหตุผลข้างต้น โรงแรมที่โอซาก้ายังมีปัจจัยหนุนจากงาน EXPO 2025 (เม.ย. – ต.ค. 25)  เป็นหุ้นเด่นกลุ่มท่องเที่ยว (คู่กับ AOT) ตามด้วย MINT จากเหตุผลเชิง Valuation หลัง PER ซื้อขาย 21.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 35 เท่า และชอบน้อยสุดในกลุ่มฯ คือ ERW 

แนวโน้มที่สดใสเกือบทุกกลุ่ม รวมถึงปีหน้ามีแผนทำ M&A 2-3 ดีล และการจัดตั้งกอง REIT ที่เลื่อนมาจากปี 2567 ฝ่ายวิจัยประเมิน FV ปี 2568 โดยใช้วิธี DCF (กำหนดสมมติฐาน WACC ที่ 6.6% และ TERMINAL GROWTH RATE ที่ 3%) ได้ ราคาเหมาะสมที่ 16.50 บาท มี UPSIDE 54% ราคาหุ้นปัจจุบัน trade ที่ P/E 17 เท่า ต่ำกว่าในอดีตที่ 40 – 45 เท่า มองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุน ให้คำแนะนำการลงทุน OUTPERFORM 

แม้คาดเห็นการฟื้นตัวของกำไรปกติ 4Q67 หนุนจากมีคอนโดฯ ใหม่สร้างเสร็จเพิ่ม แต่ก็ต้องติดตามความสามารถในการโอนกรรมสิทธิ์  ท่ามกลาง Rejection Rate สูงขึ้น และการแข่งขันมากขึ้น นำไปสู่การใช้กลยุทธ์ด้านราคา อาจกดดันต่อมาร์จิ้น ทำให้กำไรปกติ 4Q67 ยังอยู่ระดับต่ำกว่าที่เคยได้ทำในอดีต คงแนะนำ Neutral โดย ORI จ่ายปันผลสำหรับ 9M67 หุ้นละ 0.021 บาท (หรือ 0.5%)

คงแนะนำ Outperform  FV ปี 2568 ที่ 30.00 บาท จากผลประกอบการ 3Q67 ที่ออกมาแข็งแกร่ง และถึงแม้จะชะลอตัวบ้าง QoQ ใน 4Q67 แต่คาดกำไรยังอยู่ในเกณฑ์ดี ก่อนกลับมาเติบโตขึ้นใน 1Q68 (QoQ/YoY) หนุนจากการเข้าสู่เทศกาลตรุษจีนที่จะช่วยดันราคาเนื้อสัตว์สูงขึ้น ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในปีหน้า ด้านราคาหุ้นซื้อขาย PBV 0.8 เท่า และคาดปันผลเกือบ 4% ต่อปี

เบื้องต้นฝ่ายวิจัยคงประมาณการ 2567-68 มูลค่าพื้นฐานปี 2568 อยู่ที่ 36 บาทต่อหุ้น แม้ราคาหุ้นจะปรับฐานลงมาในระดับหนึ่งแล้วจนมี Downside จำกัด แต่ภาพรวมธุรกิจของ RATCH ยังขาดปัจจัยบวกขับเคลื่อนราคาหุ้น มีเพียงการจ่ายปันผลสม่ำเสมอในระดับที่ดี Dividend Yield 5-6% ต่อปี 

ระดับ backlog ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง, gross margin จากการขายที่ดินปี 2568 ที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึง sentiment ย้ายฐานการผลิตจากนโยบายภาษีสุดโหดของ Donald Trump ล้วนเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อ WHA ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2568 โดยอิง Historical PER 10 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 19 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 6.90 บาท ให้คำแนะนำการลงทุน outperform

แนวโน้มกำไรที่ออกมาดีทั้ง QoQ, YoY และดีกว่าคาด รวมถึงมี sentiment หนุนเชิงบวกปัจจัยมหภาคจากเรื่องการย้ายฐานการผลิต รวมไปถึง FDI ที่หลั่งไหลเข้าไทยต่อเนื่อง ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2568 โดยอิง Historical PER 10 ปีย้อนหลัง ปรับเพิ่มขึ้น 0.5 S.D อยู่ที่ 17 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 35 บาท มี upside 22.8% ให้คำแนะนำการลงทุนที่ outperform

แม้ความสามารถในการทำกำไรเริ่มกลับมาดูดีขึ้น แต่งานคงเหลือในมือ (Backlog) ที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้มองอนาคตปี 2568 ได้ลำบาก คงให้น้ำหนักการลงทุนเพียง Neutral จากราคาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีมาก และยังพอมีลุ้นได้งานโครงการใหญ่เข้ามาเติม Backlog ในช่วง 1H68 ประเมินราคาเหมาะสมที่ 3.96 บาท   

ปรับลดประมาณการปี 2567 เป็นขาดทุน สะท้อนงบ 3Q67 ที่ทรุดหนัก แต่เชื่อจุดต่ำสุดได้ผ่านไปแล้ว รอเวลาฟื้นตัวหลังหมดภาระงานซ่อมอุโมงค์บึงหนองนอนใน 1Q68 ขณะที่ส่วนแบ่งขาดทุนรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูจะทยอยลดลงเมื่อมีผู้ใช้บริการมากขึ้น  คงคำแนะนำ Neutral ปรับมูลค่าเหมาะสมเหลือ 9.40 บาท 

ITD กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญจากดีลขายหุ้น ITD Cementation และเหมืองโปแตซ ซึ่งจะมีผลอย่างมากต่อทิศทางบริษัทในอนาคต โดยธุรกรรมจะเกิดขึ้นใน 1Q68 ดังนั้นในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ราคาหุ้นยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากความไม่แน่นอนหลายเรื่อง ให้น้ำหนักลงทุน Underperform 

CK เป็นบริษัทก่อสร้างที่มีความมั่นคงมาก ทั้งในด้านรายได้ที่มี Backlog สูงถึง 2.2 แสนล้านบาท พร้อมโอกาสรับงานเพิ่มเติมอีกจากโครงการลงทุนของ BEM รวมถึงงานประมูลภาครัฐอื่นๆ ขณะที่บริษัทลูกทั้ง BEM และ CKP ก็มีแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่น ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสม 28.00 บาท 

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานปี 2568 ของ GULF ที่สะท้อนการควบรวมเป็น NewCo แล้ว อยู่ที่ 70 บาท โดดเด่นในด้านปัจจัยพื้นฐานทั้งระยะสั้นที่คาดหวังกำไรปกติขึ้นทำ New High ใน 4Q67 และการเติบโตต่อเนื่องของกำไรในระยะยาว รวมถึงคาดหวัง upside ส่วนเพิ่มจากการเกิด synergy ใหม่ๆหลังควบรวม ซึ่งยังไม่ได้ถูกรวมในประมาณการ เน้นหาจังหวะทยอยสะสมลงทุนระยะยาว

คงประมาณการ และปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 7.9 บาท/หุ้น ช่วงสั้นคาดมีแรงหนุนจากแนวโน้มกำไร 4Q67 ที่เข้าสู่ช่วง peak ของปี และการประกาศเข้าลงทุนเพิ่มเติมในโครงการใหม่ อาจเน้นหาจังหวะเข้าลงทุนรับประเด็นบวกดังกล่าวได้ 

ราคาหุ้น YTD ลบ 21% (SET บวก 2.4%) สะท้อนการปิดปรับปรุงโรงแรมและค่าใช้จ่ายในการเปิดโรงแรมใหม่ ในขณะที่แนวโน้มการเติบโตของกำไรข้างหน้ามีลมหนุนจากการเดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ, โรงแรมญี่ปุ่นปีหน้ามีแรงส่งจากงาน EXPO 2025 ที่โอซาก้า, การเปิดโรงแรมใหม่ คงแนะนำ Outperform 

แม้ราคามี Upside แต่ด้วย RevPar Ex Hop INN และ Hop INN ไทย งวดล่าสุดขยายตัว 2% YoY และ 5% YoY ตามลำดับ สะท้อนว่าระยะข้างหน้าการขยายตัวของกำไรในอัตรา 20% YoY ในแต่ละไตรมาสดูเริ่มท้าทาย เมื่อนำมาเทียบกับ PER ซื้อขายที่ 22 เท่า ถือว่า Valuation ไม่ถูกสำหรับหุ้น Mid-small cap เบื้องต้นคงแนะนำ Neutral โดย ERW จะจัดประชุมนักวิเคราะห์เช้าวันที่ 15 พ.ย. 67 ซึ่งฝ่ายวิจัยจะนำมาข้อมูลมาพิจารณาคำแนะนำต่อไป                              

คงแนะนำ Neutral เนื่องจากระยะสั้นทิศทางกำไร 4Q67 คาดประคองตัวหรืออาจลดลงจากงวดก่อน/งวดปีก่อน (แม้ปกติรายได้ดีสุดของปี แต่กำไรไม่ใช่จุดสูงสุดของปี เพราะต้องเจอกับค่าใช้จ่ายการตลาดสูงขึ้น) แต่ในเชิงระยะกลาง-ยาว ยังมองเป็นหุ้นที่น่าสนใจ เนื่องจากแผนการลงทุนโครงการใหม่ต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีหลายโครงการ Mixed Use ที่อยู่ระหว่างพัฒนาและยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด จะช่วยผลักดันต่อผลประกอบการเติบโตมั่นคงในระยะยาว 

แม้กำไร 4Q67 จะเติบโตขึ้น QoQ หนุนหลักจากขายสินทรัพย์เข้า LHSC และเปิดโครงการใหม่มากขึ้น แต่ในเชิง YoY คงอ่อนตัว โดยเฉพาะธุรกิจหลักอย่างพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขายยังเผชิญกับความท้าทาย จากการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้นในกลุ่มบ้านระดับบน จึงยังคง Wait and See เพื่อดูสถานการณ์การขายของบริษัทว่าฟื้นตัวได้หรือไม่ และแนะนำ Neutral โดย LH ประกาศจ่ายเงินปันสำหรับ 9M67 หุ้นละ 0.15 บาท หรือราว 3% 

ปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานปี 2568 เท่ากับ 120 บาทต่อหุ้น โดยให้น้ำหนักการลงทุนอยู่ที่การจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ปีละ 2 ครั้ง เพราะทิศทางกำไรในระยะ 1-3 ปี ข้างหน้า เป็นการแสวงหาโครงการลงทุนใหม่เพื่อชดเชยโครงการลงทุนเก่าที่อยู่ช่วงท้ายของสัญญาที่จะทอยหมดอายุลง จึงยังไม่เห็นปัจจัยขับเคลื่อนที่โดดเด่นยามนี้ 

คงประมาณการ และปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2568 ที่ 38 บาทต่อหุ้น ทางด้านพื้นฐานเชื่อว่าราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆจนมี downside ที่จำกัดมากขึ้นแล้ว ประกอบกับทิศทางกำไรรายปียังคงมีความแข็งแกร่งจากการเป็น holding companY อีกทั้งยังให้ Div Yield ระดับที่ดี

กำไรช่วง 9M67 มีสัดส่วนราว 77% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี 2567 แต่เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี 2567 - 2568 ไว้ตามเดิม เพราะเชื่อว่า upside ต่อประมาณการไม่มากนัก คงราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 91 บาท (คงอิง PER 31.5 เท่า, -0.5 SD) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) มีปัจจัยบวกจากกำไรปกติ 3Q67 ที่ดีกว่าคาดและ 2) แนวโน้มกำไรที่สดใส รออยู่ใน 4Q67 

กำไรปกติ 9M67 มีสัดส่วน 81% ของคาดการณ์กำไรปกติทั้งปี แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 67-68 เพราะคาดสัดส่วนกำไรปกติใน 4Q67 ที่ราว 20% เราปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 28.0 บาท โดยปรับลด PER ลงเหลือ 26.2 เท่า(-1.5 S.D)สะท้อนกำไรปี68 ที่คาดโตต่ำ และคงคำแนะนำ“Neutral”เพราะใน 3Q67 ผลการดำเนินงานเผชิญขาดทุนสุทธิ แต่ถือคาดหวังอัตราเงินปันผลปี68 ที่ 5.4%

จำนวนผู้ป่วยโรคระบาดตามฤดูกาลที่ทยอยปรับตัวลดลง รวมถึงฐานกำไรที่สูงจากการบันทึกรายได้ส่วนเพิ่มสำหรับโรคเรื้อรังและที่มีภาวะเสี่ยง (RW<2) ในงวด 4Q66 ทำให้ฝ่ายวิจัยประเมินผลการดำเนินงานงวด 4Q67 เติบโตเพียงเล็กน้อย YoY และปรับตัวลดลง QoQ ประเมินราคาเหมาะสมใหม่ปี 2568 ที่ 21 บาท ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral

ปรับไปใช้ FV ปี 2568 ที่ 19.5 บาท คงแนะนำ Outperform จาก Valuation ไม่แพง บน PER ซื้อขาย 10 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มฯ ประกอบกับราคายังมี Upside ราว 12% และราคาหุ้น YTD ยังฟื้นตัวขึ้นช้ากว่ากลุ่มฯ โดยในกลุ่มจำนำทะเบียนรถให้ MTC เป็น Top pick    

ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าภาพรวมการเติบโตของธุรกิจศัลยกรรมความงามยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลประกอบการงวด 4Q67 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจจะเติบโตโดดเด่น ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 60 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform

กำไรปกติใน 9M67 มีสัดส่วน 68% ของคาดการณ์ทั้งปี แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ที่ 8.6 พันล้านบาท (+8% YoY) และ 1.0 หมื่นล้านบาท (+20% YoY) และขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 44.50 บาท (อิง PER 25.96 เท่า) ปรับคำแนะนำสำหรับ CRC จาก “Neutral” เป้น “Outperform” เพราะ 1) กำไร3Q67 ออกมาดี และมีแนวโน้มจะโตได้ต่อใน 4Q67 และ 2) ราคาหุ้นยัง Laggard กลุ่ม

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 9.0 บาท/หุ้น ช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นปรับฐาน คาดสะท้อนผลประกอบการงวด 3Q67 ที่ย่ำแย่มาแล้วระดับหนึ่ง อีกทั้งทิศทางกำไร 4Q67 เริ่มฟื้นตัวหลังผ่านพ้นช่วงต่ำสุดของปีมาแล้ว เน้นหาจังหวะเข้า trading ช่วงสั้น ตามทิศทางค่าการกลั่นที่คาดจะเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล

ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ขึ้น 10.4% และ 10.7% จากเดิม สะท้อนธุรกิจ Trading และ EPC ช่วง 9m67 ที่ดีกว่าที่ประเมินไว้ FV ปี 2568 อยู่ที่ 3.6 บาท/หุ้น คาดราคาหุ้นยังถูกกดดันจากกำไรปกติ 4q67 ที่อ่อนตัว และกระแสเชิงลบจากการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดในไทยที่อาจล่าช้า ทำให้ยังขาดปัจจัยขับเคลื่อนในกลุ่มพลังงานทดแทน ช่วงสั้นลดคำแนะนำลงเป็น Underperform

ภายใต้ประมาณการเดิม ปรับไปใช้ FV ปี 2568 ที่ 42 บาท (เทียบเท่า PER ที่ 11 เท่า) คงแนะนำ Neutral จากแนวโน้มการขยายตัวของกำไรไม่สูงเท่ากลุ่มฯ ด้านราคาหุ้น 3 เดือนที่ผ่านมาปรับเพิ่ม 34% (SET +12%) สะท้อนการคุมคุณภาพสินทรัพย์และพัฒนาการของผลขาดทุนรถยึดบางส่วนแล้ว ทำให้ Upside อยู่ที่ราว 10% โดยกลุ่มจำนำทะเบียนรถให้ MTC เป็น Top pick       

พร้อมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายภาครัฐ ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าจะไม่ส่งผลลบต่อ BEM เพราะมีสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้าที่ระบุผลตอบแทนไว้อย่างชัดเจน มุมมองธุรกิจระยะยาวยังเป็นบวก ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF อยู่ที่ 11.00 บาท  

แนวโน้มผลการดำเนินงานในงวด 4Q67 ยังคงเผชิญกับความท้าทาย โดยผู้บริหารคาดการณ์รายได้ธุรกิจโรงพยาบาลจะเติบโตในระดับที่ทรงตัวหรือลดลง 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน ฝ่ายวิจัยได้มีการปรับประมาณกำไรปี 2567 และ 2568 ลดลงเฉลี่ย 9% เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าตลาดคาดไว้มาก จะได้ราคาเหมาะใหม่อยู่ที่ 257 บาท ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral

ปรับลดประมาณการกำไร 2567 อีกระลอก สะท้อนงบ 3Q67 ที่ย่ำแย่กว่าคาด และปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 6.0 บาทต่อหุ้น ราคาหุ้นปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆจนมี downside ที่จำกัดแล้วระดับหนึ่ง ประกอบกับคาดหวังผลบวกจากการเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูกาลในช่วงปลายปี แนะนำหาจังหวะเข้า trading ช่วงสั้นๆเป็นรอบๆตามทิศทางราคาถ่านหินและก๊าซฯที่เปลี่ยนแปลงไปได้ 

แนวโน้มที่สดใสเกือบทุกกลุ่ม รวมถึงปีหน้ามีแผนทำ M&A 2-3 ดีล และการจัดตั้งกอง REIT ที่เลื่อนมาจากปี 2567 ฝ่ายวิจัย FV ปี 2568 โดยใช้วิธี DCF (กำหนดสมมติฐาน WACC ที่ 6.6% และ TERMINAL GROWTH RATE ที่ 3%) ได้ ราคาเหมาะสมที่ 16.50 บาท มี UPSIDE 54% ให้คำแนะนำการลงทุน OUTPERFORM 

ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานงวด 4Q67 คาดว่าจะเติบโตในระดับ QoQ และ YoY จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น รวมถึงการขยายแบรนด์ผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบันและสมุนไพรอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายวิจัยมีการทบทวนสมมติฐานในการประเมินมูลค่า เพื่อสะท้อนความผันผวนของราคาเทียบกับตลาดประเมินราคาเหมาะสมใหม่อยู่ที่ 22 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform

แนวโน้มผลประกอบการงวด 4Q67 คาดลดลง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล แต่เพิ่มขึ้น YoY ได้แรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในช่วงไฮซีซั่นปลายปี ซึ่งส่งผลให้ความต้องการบริการทางการแพทย์เพิ่มสูงขึ้น ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 36 บาท ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform

กำไรปกติ 9M67 ออกมามีสัดส่วน 81% ของคาดการณ์ทั้งปี เราจึงต้องปรับคาดการณ์กำไรปี 2567 – 68 ขึ้นจากเดิม 6% - 11% เป็น 3.0 – 3.5 พันล้านบาท โดยขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 29.75 บาท (PER 20.2 เท่า, -1.0 SD) และปรับคำแนะนำจาก “Neutral” เป็น “Outperform” เพราะ 1) เชื่อว่ากำไรผ่านจุดต่ำสุดของปีแล้วใน 3Q67 โดยคาดจะฟื้นตัวใน 4Q67 และ 2) ราคาหุ้นซื้อขายด้วย PER ปี 2568 ที่ 17.7 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มพาณิชย์ซึ่งอยู่ที่ 21.7 เท่า

คงประมาณการ และแนะนำ Outperform จาก 1) ทิศทางกำไร 4Q67 ที่ยังยืนระดับสูง QoQ และเพิ่ม YoY 2) คาดกำไรปี 2568 จะพลิกกลับมาเติบโตเป็นบวกราว 7% yoy สนับสนุนจากการมีสินค้าพร้อมขายหลากหลาย, Backlog คงค้างแนวราบ และการส่งมอบของคอนโดฯ ใหม่ 5 โครงการ และ 3) PER ซื้อขายเพียง 5 เท่า และคาดหวัง Div Yield เฉลี่ย 7% ต่อปี (จ่ายปีละ 1 ครั้ง) 

จากกำไรรายไตรมาสที่ผ่านพ้นจุดสูงสุดของปีใน 3Q67 และ 4Q67 คาดกำไรอ่อนตัวทั้ง Qoq และ YoY ขณะที่การดำเนินงานปี 2568 มีความท้าทายมากขึ้น เนื่องจากมี Backlog รอรับรู้รายได้ปีหน้าไม่มาก (รองรับเป้าโอนฯ สัดส่วน 12%) และมีเพียง 1 คอนโดฯ ใหม่ที่มีกำหนดสร้างเสร็จ เทียบกับปีนี้มี 5 โครงการ จึงปรับลดคำแนะนำเป็น Neutral รับเงินปันผลเฉลี่ย 7% ต่อปี (จ่ายปีละ 2 ครั้ง)

คงประมาณการกำไรปี 2567 – 69 เติบโตเฉลี่ย 19% ต่อปี แต่ในการประเมินมูลค่าหุ้นปรับลด pBV เหลือ 2.7 เท่า (เดิม 2.9 เท่า) สะท้อนวงจรดอกเบี้ยขาลงมีความไม่แน่นอน หลัง Bond yield สหรัฐฯ ปรับขึ้น ได้ FV ใหม่ปี 2568 ที่ 55 บาท (เดิม 59 บาท) คงแนะนำ  Outperform จากคุณภาพสินทรัพย์ดูจัดการได้ดีกว่ากลุ่มฯ ประกอบกับราคาหุ้นช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาลบ 8% (SET ลบ 2%) สะท้อนแรงกดดันด้านวงจรดอกเบี้ยข้างต้น ในขณะที่ Upside เทียบ FV ยังจูงใจ           

คงประมาณการ และ FV ปี 2568 ที่ 13 บาท/หุ้น ช่วงสั้นคาดยังมีแรงกดดันจากทิศทางกำไรปกติ 4q67 ที่อ่อนแอ รวมถึงภาพใหญ่ทั้งปีที่กำไรลดลง YoY อีกทั้งระยะยาวยังขาดความน่าสนใจ เนื่องจากยังไม่มีโครงการใหม่ๆเข้ามาช่วยหนุน ขณะที่โครงสร้างรายได้ของ HPC และ BLCP จะเริ่มลดตามสัญญา PPA

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2568 อยู่ที่ 10 บาท/หุ้น แม้แนวโน้มกำไรอ่อนจะตัวลงในช่วงสั้นงวด 4Q67 แต่มีความโดดเด่นในด้านการจ่ายปันผลที่สูง และสม่ำเสมอ ซึ่งคาดหวังการจ่าย dividend yield ได้ราว 6-7% /ปี จึงคงคำแนะนำ Neutral สำหรับการลงทุนที่ถือเพื่อเน้นรับปันผล 

ผลประกอบการผ่านจุดสูงสุดของปีไปแล้ว แม้แนวโน้มกำไร 4Q67 ยังอยู่ในเกณฑ์ดีและมีความต่อเนื่องในปี 2568 จากงบประมาณซ่อม/สร้างถนนที่เพิ่มขึ้นราว 5%YoY แต่ราคาหุ้น 3 เดือนข้างหน้า น่าจะเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับ SET Index จึงลดน้ำหนักจาก Outperform เป็น Neutral ประเมินราคาเหมาะสม 21.00 บาท

ทิศทางธุรกิจสื่อนอกบ้านสดใส เตรียมเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4 พร้อมเดินหน้าทำกำไร New High ต่อในปี 2568 จากแผนปรับ Package ขายโฆษณา เพิ่มกำลังการผลิตสื่อและเดินหน้ารุกธุรกิจมวยเวทีราชดำเนิน ประเมิน FAIR VALUE วิธี DCF ได้ที่ 10.60 บาท  ให้น้ำหนักลงทุน OUTPERFORM

คงแนะนำ Outperform  ราคาหุ้นถูกกดดันต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ PER ลงมาซื้อขายราว 22 เท่า บนแนวโน้มการเติบโตของ Norm EPS ปี 2567 – 69 ราว 12% ต่อปี (หนุนด้วยดอกเบี้ยจ่ายลดและการ rebrand เพื่อเพิ่ม ADR) เทียบกับค่าเฉลี่ย PER ปี 2560 - 62 ที่ 35 เท่า ซึ่งมี CAGR ของ Norm EPS ที่ 6% ต่อปี ภาพรวมจึงมองว่า Valuation ตรงจุดนี้ไม่แพง         

คงแนะนำ Neutral เนื่องจากคาดกำไรปกติรายไตรมาสปีนี้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ขณะที่แนวโน้มกำไรปกติ 4Q67 คาดอ่อนตัว QoQ  และต่อเนื่อง QoQ ใน 1Q68 ตามฤดูกาล (ปกติไตรมาส 1 ต่ำสุดของปี) นอกจากนี้แนวโน้มกำไรปกติ 2567 ที่สูงโดดเด่น ทำให้การเติบโตของกำไรปี 2568 ท้าทายและเป็นไปอย่างจำกัดมากขึ้น ทำให้การลงทุนระยะสั้น-กลาง ยังขาดปัจจัยบวกเข้ามาขับเคลื่อนต่อราคาหุ้น

คงประมาณการ และ มูลค่าพื้นฐานปี 2568 อยู่ที่ 30 บาท/หุ้น ช่วงสั้นคาดยังมีปัจจัยกดดันจากแนวโน้มกำไรงวด 4Q67 ที่อ่อนแอ และ sentiment เชิงลบของกลุ่มโรงไฟฟ้า ทั้งในประเด็นความล่าช้าในการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดรอบใหม่ในประเทศไทย และผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ซึ่งน่าจะกดดันราคาหุ้นให้ปรับตัวลดลงต่ำกว่าตลาดได้ ช่วงสั้นยังคงคำแนะนำ Underperform 

ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการปี 67 สะท้อนปริมาณการขายไฟฟ้า 9M67 ที่ต่ำกว่าสมมติฐาน และรวมขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 9M67 ในประมาณการ รวมถึงได้ปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐาน 68 อยู่ที่ 4.4 บาทต่อหุ้น ถึงแม้ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับฐานลงมาแล้วในระดับหนึ่ง แต่เนื่องจากกำไรผ่านจุดพีครายปีไปแล้ว และจะเข้าสู่ช่วงฤดูแล้งอีกครั้ง ประกอบกับภาพยาวต้องรอโครงการใหม่ต่อยอดกำไร จึงยังไม่เห็นปัจจัยบวกในการเข้าลงทุนช่วงสั้น ลดคำแนะนำลงทุนเป็น Neutral

กำไรช่วง 9M67 มีสัดส่วน 75% ของคาดกำไรทั้งปี67 และแม้คาดกำไร 4Q67 จะเติบโตทั้งQoQ และYoY แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 67-68 ที่ 644 ล้านบาท(+1%YoY) และ 722 ล้านบาท(+12%YoY) เพราะเชื่อว่ากำไรมีUpsideไม่มากนัก โดยคงราคาเป้าหมายปี68 ที่ 16.5 บาท(อิง PER ที่ 21.9 เท่า, -2.0 S.D) และคงคำแนะนำ“Neutral” เพราะกำไร 3Q67 เติบโตไม่โดดเด่น แต่ถือเพื่อหวังอัตราผลตอบแทนเงินปันผลปี 67-68 ที่ระดับ 4.1-4.5% ซึ่งจูงใจ 

กำไรปกติช่วง 9M67 มีสัดส่วน 76% ของคาดกำไรปกติทั้งปี 67 แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี67-68 จากคาดกำไรใน 4Q67 ทรงตัวQoQ คงราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 23.0 บาท (อิง PER 18.9 เท่า, -1.5 S.D) และคงคำแนะนำ“Neutral”เพราะกำไรช่วง 2H67 เติบโตไม่โดดเด่น แต่ถือเพื่อหวังอัตราผลตอบแทนเงินปันผลปี 67-68 ที่สูงถึง 6.7-7.4% ซึ่งจูงใจ โดยICHI ประกาศจ่ายปันผลงวด 9M67 ที่ 0.6 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ 3.6% (X.D. 22 พฤศจิกายน 2567)

กำไร 9M67 มีสัดส่วน 72% ของคาดการณ์ปี 2567 ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรปี 2567-68 ไว้ที่ 250 (+47% YoY) และ 329 ล้านบาท (+32% YoY) ไว้ตามเดิม แต่ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 8.70 บาท (คงการอิง PER 16.4 เท่า) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 3Q67 ที่ออกมาดี และ 2) ราคาหุ้นซื้อขายที่ PER ปี 2568  ราว 13 เท่า ถูกกว่า COM7 ซึ่งคาดจะมีกำไรที่โตต่ำกว่า แต่ซื้อขายที่ PER ปี 2568 ที่ราว 21 เท่า

ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2568 ที่ 30 บาทต่อหุ้น ปัจจัยขับเคลื่อนยังอยู่ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่จะกลับมาช่วยหนุนความต้องการใช้ผลิตภันฑ์ขั้นปลายให้กลับมาเติบโต คงต้องรอลุ้นปี 2568 ประกอบกับในส่วนของ IVL จะมีประเด็นการนำบริษัทลูก Indovida และ Indovinya เข้าจดทะเบียนในตลท. US หรือ Europe ในช่วงปี 2568 และ 2569 ซึ่งน่าจะเข้ามาสร้างสีสันต่อราคาหุ้นได้บ้าง 

คงแนะนำ Outperform จากการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ได้ดีกว่ากลุ่มฯ ประกอบกับแผนเพิ่มนโยบายการจ่ายปันผล (ปี 2566 ที่ 33% ของกำไรสุทธิ) หลัง Tier-1 สูงเกินเกณฑ์ขั้นต่ำพอควร ถือเป็น upside ต่อ DPS และ ROE                                   

ปรับประมาณการกำไรปี 67-68 ลงเฉลี่ย 12% แต่ยังให้น้ำหนักลงทุน Outperformมองแนวโน้มกำไร 4Q67 จะฟื้นตัวเด่น ต่อเนื่องไปถึงปี 2568 จากหนังฟอร์มยักษ์ที่ต่อคิวเข้าฉาย ประเมินราคาเหมาะสมปี 68 อยู่ที่ 20.00 บาท มี Upside เปิดกว้างและเกราะป้องกันจากโครงการซื้อหุ้นคืนในช่วงระหว่างวันที่ 16 ก.ค 67- 16 ม.ค 68

ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 15% นับจากสิ้น 2Q67 น่าจะสะท้อนปัจจัยลบเรื่องงบ 3Q67 ขาดทุนไปแล้วบางส่วน ขณะที่ผลประกอบการงวด 4Q67 มีโอกาสฟื้นแรงจากรายการ FX Gain หลังเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่า อีกทั้งราคาหุ้นอยู่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมากเกินไป จึงเพิ่มน้ำหนักลงทุนจาก Underperform เป็น Neutral

แม้มีมุมมองเชิงบวกต่อการประกาศกลยุทธ์ปี 2573 รวมถึงการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อสร้างการเติบโตยั่งยืน แต่ด้วยแผนดังกล่าว ยังคงต้องติดตามความสำเร็จ และช่วงแรกยังไม่เห็นผลกระทบเชิงบวกอย่างมีนัยฯ ต่อประมาณการ เมื่อเทียบเงินลงทุนที่จะใช้ในการปรับโครงสร้างองค์กร ซึ่งจะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในช่วงเริ่มต้นของโครงการก่อนจะเห็นผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในระยะถัดไป

กำไรปกติ 9M67 มีสัดส่วนเพียง 68% ของคาดการณ์กำไรทั้งปีของเรา ทำให้เราต้องปรับคาดการณ์กำไรปี 2567 – 68 ลง 4% - 13% ทั้งนี้เราขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2568 ซึ่งอยู่ที่ 17.50 บาท (SOTP, อิงมัธยฐานราคาเป้าหมายปี 2568 ของ JMT จาก SAA Consensus ที่ 20 บาท) และปรับคำแนะนำจากเดิม “Neutral” เป็น “Outperform” โดยมองว่าราคาปัจจุบันได้สะท้อนภาพกำไร 9M67 ไปมากแล้ว

แนวโน้มผลการดำเนินงานงวด 4Q67 คาดเติบโตต่อเนื่องหนุนจากไฮซีซั่นที่มีผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการตรวจสุขภาพ รวมถึงศูนย์ศัลยกรรมและเลสิคเพิ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมใหม่ปี 2568 ที่ 28.4 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform

กำไร 9M67 ที่ทำได้ 440 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มกำไร 4Q67 ลดลงต่อตามปัจจัยฤดูกาลและสภาวะตลาดที่ซบเซา ฝ่ายวิจัยจึงปรับประมาณการกำไร ปี 2567 – 68 ลงเหลือ 498 และ 536 ล้านบาท ตามลำดับ ด้วยแน้วโน้มกำไรที่ลดลงมากจะส่งผลให้การจ่ายเงินปันผลลดลง ประเมิน FV ปี 2568 โดยใช้วิธี DDM ให้ราคาเหมาะสม 6.90 บาท ไม่มี upside ให้คำแนะนำการลงทุน Underperform 

กำไรช่วง 9M67 มีสัดส่วน 75% ของคาดกำไรทั้งปี ทำให้เราคงประมาณการกำไรปี 2567-68 ไว้ตามเดิมที่ 2,749(+43%YoY) และ 3,042(+11%YoY) ตามลำดับ คงราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 92.75(อิง PER 30.5 เท่า, -1.0 S.D) และคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไรช่วง 3Q67 ที่เติบโตทั้ง QoQ และYoY และ2) คาดกำไรปี 2568 โตต่อเนื่อง(+11%YoY)แม้ปี 2567 มีฐานกำไรที่สูงแต่เพราะคาดเศรษฐกิจปี68 ขยายตัวได้ดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

มองปีนี้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วโดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางจีน รวมถึงการผลิตเหล็กจีนที่มีแนวโน้มลดลง จะช่วยลดความผันผวนของราคาเหล็กจีนและการส่งออกเหล็กจีนซึ่งเป็นการลดแรงกดดันราคาเหล็กในไทย ประกอบกับ ตั้งแต่ 1 ต.ค. เข้าสู่ปีงบประมาณใหม่ หนุนปริมาณขายของ TMT ให้ปรับเพิ่ม ประเมินมูลค่าเหมาะสมสมอิง PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 1.04 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 4.04 บาท ให้คำแนะนำการลงทุน neutral 

outlook ระยะยาวที่ยังสดใสทั้ง Micro และ Macro ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำการลงทุน outperform ประเมิน FV ปี 2568 อิง Historical PER 10 ปีย้อนหลัง ที่ 19 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 6.90 บาท แต่งบ 3Q67 ที่ปรับลดลงทั้ง QoQ, YoY และต่ำกว่าที่ประมาณการณ์ น่าจะมีแรงเทขายในระยะสั้น ฝ่ายวิจัยจึงแนะนำให้ทยอยซื้อในจังหวะที่ราคาย่อตัวแล้ว

ประเมินแนวโน้มกำไร 4Q67 ลดลง QoQ อย่างมีนัยฯ เนื่องจากสภาวะ port congestion ได้คลี่คลายลง และประเมินแนวโน้มกำไรปี 2568 จะลดลงจากปี 2567 จากกองเรือเข้ามาในระบบเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ความกังวลต่อ trade war หลัง Donald Trump ชนะเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐ จะส่งผลให้เกิดการเร่งส่งสินค้าเป็นช่วงๆ ประเมิน FV ปี 2568 อิง PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ที่ 0.54 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 32 บาท ให้คำแนะนำ Neutral แต่สามารถเก็งกำไรได้จาก Trade war ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567  สะท้อนงบ 9M67 ที่ย่ำแย่กว่าคาด ซึ่งภายใต้ประมาณการใหม่ และปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2568 ที่ 59 บาทต่อหุ้น ยังให้น้ำหนักการเข้าลงทุนตามฤดูกาลของธุรกิจหลักโรงกลั่นที่ทิศทางกำไรปกติน่าจะทำระดังสูงสุดของปีในไตรมาส 1 และจะเห็นการอ่อนตัวลงของค่าการกลั่นในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ก่อนที่จะเริ่มดีดตัวอีกครั้งในช่วงฤดูหนาวปลายไตรมาส 4 ภายใต้ภาวะปกติ ทำให้สามารถหาจังหวะ trading ได้รับงบ 4Q67 ที่คาดฟื้นตัว 

เราต้องปรับปรุงกำไรและราคาเหมาะสมของ INTUCH ให้สอดคล้องกับการปรับ ADVANC ขึ้น โดยราคาเป้าหมายที่สะท้อนการควบรวมในปี 2568 ปรับจาก 112 บาท เป็น 115 บาท (บนฐานราคา New Co ใหม่ที่ 68 บาท) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 3Q67 ที่ออกมาแกร่งตาม ADVANC และ 2) คาดผลตอบแทนจากปันผลปกติสำหรับ 2H67 ที่ 2.0 บาท บวกกับปันผลพิเศษ 4.50 บาท ในงวด 1Q68 หรือคิดเป็น yield รวม 6.3% ซึ่งสูงจูงใจ

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 ลง 33.4% จากเดิม สะท้อนผลประกอบการที่ย่ำแย่ถึงขั้นขาดทุนในงวด 3Q67 และปรับไปใช้ FV ปี 2568 ที่ 18 บาท/หุ้น ช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นปรับฐานลง เชื่อรับรู้ผลขาดทุนในงวด 3Q67 มาแล้วระดับหนึ่ง ในขณะที่งวด 4Q67 คาดกำไรฟื้นตัวตามการเข้าสู่ช่วง High season ของฤดูกาลท่องเที่ยว และช่วงเทศกาล จึงปรับเพิ่มคำแนะนำขึ้นเป็น Neutral 

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2568 อยู่ที่ 3.0 บาท/หุ้น ช่วงสั้นราคาหุ้นยังขาดปัจจัยใหม่ๆเข้ามาขับเคลื่อน ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานระยะยาวยังเห็นฐานกำไรทยอยลดลงต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า จาก adder โครงการสุดท้าย ที่หมดลงในปี 2568 พร้อมคาดหวังปันผลที่ลดลง  คง Underperform

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 54 บาท/หุ้น ช่วงสั้นคาดยังมีแรงกดดันจากผลประกอบการงวด 3Q67 ที่ย่ำแย่ อีกทั้งงวด 4Q67 ยิ่งเห็นกำไรอ่อนตัวต่อเนื่อง QoQ ประกอบกับยังมีแรงกดดันของกลุ่มฯ จากความไม่ชัดเจนด้านการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดในไทย และ sentiment เชิงลบจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่สนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล ช่วงสั้นจึงคง Underperform 

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567  สะท้อนงบ 9M67 ที่ย่ำแย่กว่าคาด ซึ่งภายใต้ประมาณการใหม่ และปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2568 ที่ 46 บาทต่อหุ้น ยังให้น้ำหนักการลงทุนด้านพื้นฐานตามฤดูกาลของธุรกิจหลักโรงกลั่นที่ GRM แปรผันตามฤดูกาลภายใต้ภาวะปกติ ซึ่งเริ่มจะเห็นสัญญานบวกได้ใน 4Q67 และต่อเนื่องใน 1Q68 จึงแนะนำหาจังหวะ trading สะสมขณะที่หุ้นย่อตัว เพราะเชื่อว่าน่าจะเห็นจังหวะการดีดตัวของราคาหุ้นได้เป็นระลอกๆตามทิศทางค่าการกลั่น 

กำไรปกติ 9M67 มีสัดส่วน 65% ของคาดการณ์ทั้งปี บวกกับแนวโน้มที่สดใสขึ้นใน 4Q67 (High season ของธุรกิจ ที่กำไรมักมีสัดส่วน > 30% ของกำไรทั้งปี) ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรปกติปี 2567 – 2568 ไว้ที่ 4.8 – 5.2 พันล้านบาท และคงราคาเหมาะสมปี 2568 ที่ 30.75 บาท (อิง PER 23.9 เท่า, -1.5 S.D) คงคำแนะนำ “Neutral” เพราะระยะสั้นราคาหุ้นน่าจะถูกกดดันจากกำไรงวด 3Q67 ที่ออกมาอ่อนแอ

แม้กำไรปกติช่วง 9M67 มีสัดส่วน 67% ของคาดการณ์ทั้งปี แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ไว้ตามเดิม ที่ 1.06 หมื่นล้านบาท (+23% YoY) และ 1.26 หมื่นล้านบาท (+20% YoY) เพราะเชื่อว่ากำไรปกติใน 4Q67 จะโตแรง จากผลบวกของฤดูกาล และกำลังซื้อที่ดีขึ้น โดยคงราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 40.0 บาท (อิง PER 32.9 เท่า) คงคำแนะนำ “Outperform” จากกำไรปกติ 3Q67 ที่ออกมาดีกว่าคาด และยังมีโมเมนตัมเชิงบวกต่อเนื่องไปอีกใน 4Q67     

คงประมาณการเดิม และ แนะนำ Outperform ที่ FV ปี 2568 เท่ากับ 3.46 บาท คาดกำไรปกติ 4Q67 จะเติบโต QoQ และทำจุดสูงสุดของปี ขับเคลื่อนจากการเริ่มส่งมอบ 2 คอนโดฯ ใหม่ (SCOPE ทองหล่อ และ Reference วงเวียนใหญ่), การมี Backlog แนวราบคงค้างที่รอรับรู้รายได้ 4Q67, เปิดแนวราบใหม่เพิ่ม ตลอดจนการจัดแคมเปญเชิงรุกต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นยอดขายและโอนฯ ส่งท้ายปี

ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงข้างต้น จึงมองว่ากลุ่ม ธ.พ. ที่ให้ Div yield สูงเกินค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ (6%) มีโอกาสเคลื่อนไหวได้ดีกว่ากลุ่มฯ ในช่วงนี้ ชอบ TISCO / SCB มากกว่า TTB > KKP ขณะที่กลุ่ม ธ.พ. ที่มี Div yield ไม่สูงเท่าเลือก KTB, BBL มากกว่า KBANK เพราะสัดส่วนสินเชื่อ SME น้อยกว่า, Coverage ratio สูงกว่า และทิศทางเศรษฐกิจปีหน้าที่ถูกขับเคลื่อนด้วยการลงทุนภาครัฐ น่าจะดีต่อพอร์ตสินเชื่อรายใหญ่และรัฐบาลของทั้ง 2 ธนาคาร 

แนวโน้มผลประกอบการงวด 4Q67 ฝ่ายวิจัยคาดหวังฟื้นตัวต่อเนื่อง YoY ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบบางส่วนจากกลุ่มผู้ป่วยเลื่อนการรักษาโรคยากซับซ้อนในช่วงวันหยุดเทศกาลปลายปี แต่เชื่อว่ายังได้รับแรงหนุนในช่วงไฮซีวั่นของการท่องเที่ยว ประเมินราคาเหมาะอยู่ที่ 309 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral

คงประมาณการ และ FV ณ สิ้น ปี 2568 ที่ 8.5 บาท/หุ้น ช่วงสั้นคาดยังมีปัจจัยกดดันจากทิศทางกำไร 4Q67 ที่ลดลง หลังผ่านพ้นช่วง peak สุดของปีมาแล้ว ประกอบกับยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆเข้าขับเคลื่อน ช่วงสั้นจึงปรับลดคำแนะนำลงเป็น Underperform รอจังหวะเข้าลงทุนรอบใหม่ตามการเข้าสู่ peak ใน 3Q68

แม้ปัจจัยพื้นฐานของ iii ดีและค่าระวางไม่ได้อยู่ในช่วงขาลงเหมือนช่วง post-covid แต่การประมูลผู้ประกอบการรายที่ 3 ของ AOTGA ที่ล่าช้ารวมถึง ANI ที่มีสัดส่วน free-float 10.47% ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์, 2 ปัจจัยดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นขาดแรงขับเคลื่อน ประเมิน FV ปี 2568 อิง PE Ratio 10.4 เท่า (ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง ปรับลด 0.5 SD) ได้ราคาเหมาะสม 6.90 บาท ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral

กำไรปกติ 9M67 รวม 3.97 พันล้านบาท (+6.4% yoy) คิดเป็นสัดส่วน 73% ของประมาณการทั้งปี จึงคงประมาณการ โดยแนวโน้มกำไรปกติ 4Q67 คาดอ่อนตัว QoQ และมีโอกาสลงต่อเนื่อง QoQ ใน 1Q68 ตามปัจจัยฤดูกาล (ปกติไตรมาส 1 ต่ำสุดของปี) จึงคงแนะนำ Neutral ที่มูลค่าพื้นฐานปี 2568 เท่ากับ 18.60 บาท โดย TU ให้ผลตอบแทนปันผลเฉลี่ย 4-5% ต่อปี (จ่ายปีละ 2 ครั้ง)

ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 35 บาทต่อหุ้น ภายใต้การรวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯกรณี worst case แล้ว ถึงแม้แนวโน้มผลการดำเนินงานในงวด 4Q67 จะยังไม่สดใส อีกทั้งยังอาจมีค่าใช่จ่ายพิเศษเพิ่มเติมอีก แต่คาดว่าราคาหุ้นมี downside ที่ค่อนข้างจำกัดเพราะปรับฐานมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นรอ Theme China Play มาขับเคลื่อนราคาหุ้นให้ trading ได้  

กำไรสุทธิ 9M67 มีสัดส่วน 74% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี ทำให้เรายังคงประมาณกำไรปี 2567 – 2568 ไว้ที่ 695 ล้านบาท - 988 ล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งคงราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 10.50 บาท (อิง PER 34.4 เท่า) แต่ปรับเพิ่มคำแนะนำจาก เดิม “Underperform” เป็น “Neutral” เพราะเชื่อว่ากำไรน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 3Q67 และฟื้นตัวดีขึ้นใน 4Q67 ที่เป็น high season ของธุรกิจ รวมทั้งคาดหวังการเติบโตของกำไรในปี 2568 ที่สูงราว 42% เทียบกับฐานต่ำปีนี้ 

กำไร 9M67 คิดเป็น 82% ของประมาณการกำไรทั้งปี ปรับเพิ่มประมาณการปี 67 ขึ้น 6% และคาดการณ์กำไรปี 2568 เติบโต 7%YoY จากผลบวกโครงการลดต้นทุนและกำไรที่รับจาก LANNA มากกว่าดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการกู้ยืมในการทำธุรกรรม ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมิน Fair Value ได้ที่ 200 บาท   

ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2568 ที่ 2.1 บาทต่อหุ้น แม้ทางด้านปัจจัยพื้นฐานงบในงวด 3Q67 และ 4Q67 อาจจะยังไม่สดใส แต่ในภาพระยะยาวยังมีปัจจัยการฟื้นตัวของจีนที่เป็นความหวังในปี 2568 อยู่ ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับฐานในระดับหนึ่งแล้ว แนะนำให้ใช้ความระมัดระวังหาจังหวะ trading รับสตอรี่จีน

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567- 68 ลง 23.1% และ 2.1% จากเดิม เพื่อสะท้อนอัตรากำไรที่ต่ำกว่าที่ประเมินไว้ และรวมการเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นในธุรกิจไบโอดีเซล และโครงการ SAF ไว้ในประมาณการ ปรับไปใช้ FV ปี 2568 ที่ 7 บาท/หุ้น อิง EPS 0.32 บาท/หุ้น และ PER เท่าเดิมที่ 22.0 เท่า ทิศทางกำไรเริ่มฟื้นตัว YoY แต่ยังมีความเสี่ยงจากนโยบายรัฐฯ ที่อาจปรับลดส่วนผสมไบโอดีเซลลงจาก B7 เป็น B5 ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจน จึงคงคำแนะนำ Neutral 

ปรับลด PER เป็น 20 เท่า สะท้อนการเติบโตของกำไรที่ลดลงในปี 2568 และใกล้เคียงค่าเฉลี่ยหุ้นเกี่ยวเนื่องกับอาหารสัตว์เลี้ยงต่างประเทศ ส่งผลให้ FV ปี 2568 ที่ 28.0 บาท แม้มี upside 19% แต่ทิศทางกำไรปกติรายไตรมาสผ่านจุดสูงสุดของปี โดย 4Q67 คาดทรงตัว qoq และลดลง qoq ใน 1Q68 ขณะที่ในเชิง yoy คาดอัตราการเติบโตลดน้อยลงจาก 9M67 จึงปรับลดเป็น Neutral 

ตลาดซ่อมแซมบ้านที่น่าจะมีมากขึ้นหลังน้ำท่วม บวกกับการเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวสินค้าเกษตรและความพยายามหาลูกค้ากลุ่มใหม่ๆต่อเนื่อง น่าจะทำให้กำไร 4Q67 ฟื้นตัว ขณะที่ราคาหุ้นปรับฐานลงจนเริ่มมี Upside เพิ่มน้ำหนักการลงทุนจาก Underperform เป็น Neutral ประเมินราคาเหมาะสมปี 2568 ที่ 1.92 บาท 

คงประมาณการ แต่ปรับไปใช้ FV ใหม่ปี 2568 ของ GULF ที่สะท้อนการควบรวมเป็น NewCo แล้ว อยู่ที่ 70 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเพิ่มประมาณการ และ FV ใหม่ของ ADVANC ในช่วงก่อนหน้า แม้ราคาปัจจุบันเริ่มมี upside จำกัด แต่ยังคาดหวัง upside ส่วนเพิ่มจากธุรกิจใหม่ ทั้ง Cloud , Data Cener และการเกิด synergy ใหม่ๆ ที่ยังไม่ถูกรวมไว้ในประมาณการ คง Outperform 

ทิศทางกำไรปกติ 4Q67 คาดเติบโตต่อเนื่อง QoQ สนับสนุนด้วย Backlog ที่คงค้างจากสิ้น 3Q67 , การเปิดโครงการใหม่เพิ่ม (ปกติไตรมาส 4 เปิดมากสุดของปี) ,ส่งมอบคอนโดฯ ใหม่ที่สร้างเสร็จพร้อมโอนฯ, การจัดกิจกรรมการตลาดเชิงรุกของผู้ประกอบการ ตลอดจนโค้งสุดท้ายของมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนฯ-จดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาทก่อนจะสิ้นสุดปีนี้ และอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยที่ลดลง คาดเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อผลประกอบการ 4Q67 มีกำไรสูงสุดของปี  คงแนะนำลงทุนเท่าตลาดสำหรับกลุ่ม เลือกหุ้นเด่นที่มีการกระจายของพอร์ตสินค้าทั้งแนวราบและคอนโดฯ รวมถึงทิศทางผลประกอบการ 3Q67 ที่ยังดีกว่ากลุ่มฯ ได้แก่ AP (FV@B14.20), SPALI (FV@B23.00) และ SC(FV@3.46)

การปรับลงของราคาหุ้นวานนี้และต่อเนื่องจากจุดสูงสุดของปีบริเวณ 34 บาท (YTD ลบ 8% VS SET บวก 3% YTD) สะท้อนกำไรงวด 3Q67 เชิง QoQ และความผันผวนของ FX บางส่วนแล้ว หากราคายังปรับฐานต่อเนื่อง จะทำให้ Valuation จูงใจขึ้น จาก PER ปี 2568 ปัจจุบันที่ 23.2 เท่า ภายใต้แนวโน้มกำไรรายปีขยายตัว ตามแผนการปรับแบรนด์โรงแรมเพื่อยกค่าห้องพัก คงแนะนำ Outperform         

ด้วยผลประกอบการที่น่าจะสดใส รวมถึง sentiment เชิงบวกหลายเรื่อง เช่น การเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐฯ, การประกาศแผนการลงทุนในไทยของ Nvidia ในเดือน ธ.ค. นี้ รวมไปถึงยอดเงินลงทุนจากต่างชาติที่หลั่งไหลเข้าไทยต่อเนื่อง ประเมินมูลค่าเหมาะสม อิง Historical PER 10 ปีย้อนหลัง ปรับเพิ่มขึ้น 0.5 S.D อยู่ที่ 17 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 31.25 บาท  ให้คำแนะนำการลงทุนที่ outperform

ปรับปรุงประมาณการกำไรปกติปี 2567 เป็นต้นไป สะท้อนสมมติฐานค่าการกลั่น และแผนเลื่อนการหยุดซ่อมบำรุง ให้รัดกุมและสอดคล้องกับแผนใหม่ของบริษัทมากยิ่งขึ้น รวมถึงปรับไปใช้ FV ใหม่ ปี 2568 ที่ 9.0 บาท/หุ้น ทิศทางกำไร 4Q67 คาดฟื้นตัวกลับสู่ระดับปกติใกล้เคียงกลุ่มฯ หวังค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นตามช่วงฤดูกาล 

เตรียมเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านในไตรมาส 4 พร้อมเดินหน้าทำกำไร New High ต่อในปี 2568 จากแผนปรับ Package ขายโฆษณา เพิ่มกำลังการผลิตสื่อ และพลิกโฉมธุรกิจมวยเวทีราชดำเนิน ประเมิน FAIR VALUE วิธี DCF ได้ที่ 10.60 บาท  ให้น้ำหนักลงทุน OUTPERFORM

ประเมินมูลค่าเหมาะสมอิง Historical PER 10 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 20 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 6.30 บาท ด้วย sentiment เชิงบวกหลายเรื่อง ฝ่ายวิจัยจึงให้คำแนะนำการลงทุนที่ outperform

โดยรวมกลุ่มฯ ขาดปัจจัยขับเคลื่อนช่วงสั้น แต่ PBV ซื้อขายไม่แพง และ Div yield ยังน่าสนใจ สำหรับ ธ.พ. ใหญ่ ชอบ BBL และ KTB มากกว่า KBANK เพราะ Coverage ratio สูงกว่า และมองว่าทั้งคู่ Valuation ไม่แพง เมื่อเทียบกับกลุ่มฯ จาก PBV ที่ 0. 5 และ 0.6 เท่า ตามลำดับ ส่วน ธ.พ. ที่ให้ Div yield สูง ชอบ TISCO > SCB (ปรับ FV จาก 109 เป็น 118 บาท) > TTB มากกว่า KKP                       

ปรับเพิ่มกำไรสุทธิปี 2567 – 68 เฉลี่ย 17% สะท้อนค่าธรรมเนียมที่ทำได้ดีกว่าคาด ให้ FV ใหม่ 54 บาท (เดิม 41 บาท) เพิ่มเป็น Neutral เพราะการซื้อหุ้นคืน (วงเงิน 950 ล้านบาท ซื้อคืนแล้ว 573 ล้านบาท) คาดช่วยจำกัดการลงของราคาหุ้น แต่ด้วย PER ที่ 8.8 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลังตั้งแต่ปี 2560 แล้ว จึงมองราคาหุ้นไม่ปรับตัวขึ้นไวดังที่ผ่านมา โดย ธ.พ. เช่าซื้อ ชอบ TISCO และ TTB ที่มี Div yield และ ROE สูงกว่า หรือหากเล่นธีมดอกเบี้ยลง Non – Bank น่าสนใจกว่า                             

คงประมาณการกำไรปกติ แต่ปรับลดกำไรสุทธิปี 2567 ลง 55.2% จากเดิม เพื่อสะท้อนรายการพิเศษที่เกิดขึ้นใน 9M67 และปรับไปใช้ FV ปี 2568 ที่ 8.5 บาท/หุ้น ช่วงสั้นเน้นหาจังหวะ trading รับกำไรปกติงวด 3Q67 ที่เข้าสู่ช่วง peak ของปี ส่วนระยะยาวเริ่มเห็นกำไรฟื้นตัวสอดคล้องภาพรวมกลุ่มโรงไฟฟ้า  คง Neutral

หากกำไร 3Q67 เป็นไปตามคาด กำไรช่วง 9M67 จะมีสัดส่วน 74% ของคาดกำไรทั้งปี 67 แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 67-68 ที่ 644 ล้านบาท(+1%YoY) และ 722 ล้านบาท(+12%YoY) เพราะเชื่อว่ากำไรมีdownsideไม่มากนัก โดยเราขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 16.5 บาท(คง PER ที่ 21.9 เท่า, -2.0 S.D) คงคำแนะนำเพียง “Neutral” เพราะคาดมีปัจจัยลบจากกำไร 3Q67 ที่ลดลงทั้ง QoQ และ YoY แต่ถือเพื่อคาดหวังอัตราผลตอบแทนเงินปันผลปี 67-68 ที่ระดับ 4.1-4.5% ซึ่งจูงใจ 

ภาวะตลาดที่ซบเซายาวนานกว่าที่คิดและยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มกลาง-ล่าง ที่ขาดกำลังซื้อ ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรปี 2567-68 ลงอีกเฉลี่ย 5% และขยับไปใช้ราคาเหมาะสมปี 2568 ที่ 1.92 บาท มี Upside ไม่มาก คงน้ำหนักการลงทุน Underperform  

แนวโน้มกำไร 9M67 จะมีสัดส่วนเพียง 54% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี ทำให้เราต้องปรับประมาณกำไรปี 2567 – 2568 ลงจากเดิมเฉลี่ย 14% และปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 10.50 บาท (คงการอิง PER 34.4 เท่า) โดยคาดกำไรเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้นตั้งแต่ 4Q67 ที่เป็น high season และคาดการเติบโตในปี 2568 ที่สูงราว 42% จากฐานต่ำปีนี้ แต่เรายังคงคำแนะนำ“Underperform” สำหรับ DOHOME เพราะคาดระยะสั้นราคาหุ้นจะถูกกดดันจากกำไร 3Q67 ที่ยังอ่อนแอ

หากกำไร 3Q67 เป็นไปตามคาด กำไรช่วง 9M67 จะมีสัดส่วน 75% ของคาดกำไรทั้งปี 67 แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 67 โดยเราขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 23.0 บาท ภายใต้ PER ใหม่ที่ปรับลดลงเหลือ 18.9 เท่า (เดิม -1.0 S.D เป็น -1.5 S.D)เพื่อสะท้อนกำไรปี68ที่โตน้อยลง และปรับลดคำแนะนำจาก “Outperform” ลงเป็น “Neutral” เพราะคาดกำไรช่วง 2H67 เติบโตไม่โดดเด่น แต่ถือเพื่อคาดหวังอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงถึง 7% ขณะที่หุ้นอื่นในกลุ่มเครื่องดื่มอยู่ที่ 2-4%

กำไรปกติ 9M67 น่าจะมีสัดส่วน 76% ของคาดการณ์ทั้งปี บวกกับแนวโน้มที่สดใสขึ้นใน 4Q67 (High season ของธุรกิจ ที่กำไรมักมีสัดส่วน > 30% ของกำไรทั้งปี) ทำให้เราต้องปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2567 – 68 จากเดิมเฉลี่ยราว 17% และปรับไปใช้ราคาเหมาะสมปี 2568 ที่ 30.75 บาท (อิง PER 23.9 เท่า, -1.5 S.D) แม้ราคาหุ้นยังมี upside แต่ระยะสั้นราคาหุ้นอาจถูกกระทบจากกำไร 3Q67 ที่คาดชะลอลงแรง QoQ จึงปรับลดคำแนะนำจาก “Outperform” เป็น “Neutral” 

การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของทิศทางกำไร 3Q67 และคาดกำไรเป็นขาขึ้นสู่จุดสูงสุดของปีใน 4Q67 หนุนจากการส่งมอบ 2 คอนโดฯ ใหม่ (Scope ทองหล่อ และ Reference วงเวียนใหญ่) ตลอดจนการมี Backlog แนวราบรอโอนฯ และการจัดกิจกรรมการตลาดต่อเนื่อง คงแนะนำ Outperform FV ปี 2568 ที่ 3.46 บาท โดยราคาหุ้นมี upside 15% พร้อมคาดปันผลเฉลี่ยมากกว่า 5% ต่อปี

คงประมาณการ แม้ Div Yield สูงราว 8%  ต่อปี แต่ PBV ปัจจุบันซื้อขาย 0.77 เท่า (PER ที่ 9 เท่า) สูงกว่า ธ.พ. ใหญ่อื่น มองในเชิง Valuation ตึงตัว คงแนะนำ Neutral       

แม้ปรับเพิ่มกำไรปี 2567 – 68 ให้สอดคล้องกับ 9M67 (FV จาก 160 บาท เป็น 163 บาท) แต่อัตราการเติบโตของกำไรปี 2568 จำกัดที่ 2% YoY กดดันจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและทิศทาง Credit cost ลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้านราคาหุ้น 1 ปีที่ผ่านมา วิ่งขึ้น 16% มากสุดในกลุ่มฯ (SET บวก 6.4%) สะท้อนปัจจัยบวกพอควรแล้ว ส่งผลให้ Upside ต่อราคาหุ้นไม่สูง คาดทำให้ราคาหุ้นจากนี้เคลื่อนไหวใกล้เคียงตลาด จึงลดคำแนะนำจาก Outperform เป็น Neutral       

คงประมาณการ แต่ในการประเมินมูลค่าหุ้นยก PBV มาที่ 0.7 เท่า (เดิม 0.66 เท่า) สะท้อนคุณภาพสินทรัพย์เด่นกว่ากลุ่มฯ ได้ FV ที่ 23.4 บาท (เดิม 21.8 บาท)          คงแนะนำ Outperform ประเมินราคาหุ้นเคลื่อนไหวได้ดีกว่ากลุ่มฯ หลังคุณภาพสินทรัพย์งวดนี้ทำได้ดีกว่ากลุ่มฯ ประกอบกับระดับ ROE สูงกว่า ธ.พ. ใหญ่อื่น รวมทั้งสินเชื่อมีแรงหนุนจากลูกค้ารัฐบาล เป็นจุดแข็งเหนือ ธ.พ. อื่น

ทิศทางกำไรที่ยังเป็นขาขึ้น QoQ ใน 3Q67 และต่อเนื่อง 4Q67 (คาดดี YoY และ QoQ) ขณะที่ปี 2568 คาดกำไรพลิกกลับมาเติบโตเป็นบวก สนับสนุนจากการมีสินค้าพร้อมขายหลากหลาย และการโอนกรรมสิทธิ์ 4 คอนโดฯ ใหม่  ขณะที่ Valuation มีความดึงดูดด้วย PER ซื้อขาย 6 เท่า และ Div Yield  6% ต่อปี (จ่ายปีละ 1 ครั้ง) จึงคงแนะนำ Outperform

หากกำไรปกติ 3Q67 เป็นไปตามคาด กำไรปกติ 9M67 จะมีสัดส่วน 79% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 67 เพราะคาดช่วง 4Q67 มีสัดส่วนกำไรที่ราว 20% คงราคาเป้าหมายปี 67 ที่ 33.8 บาท(อิงPER 34.1 เท่า) แต่ปรับลดคำแนะนำลงเป็น “Neutral” เพราะคาดกำไรปกติ 3Q67 อ่อนตัว QoQ และคาดกำไรในช่วง 4Q67 เติบโตไม่โดดเด่นมาก 

ปรับลดประมาณการปี 2567 สะท้อนทั้งผลการดำเนินงานปกติ และรายการพิเศษต่างๆที่เกิดขึ้นในงวด 9M67 ที่ย่ำแย่กว่าที่คาดไว้เดิม และปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2568 ที่ 2.1 บาท/หุ้น แม้ทางด้านปัจจัยพื้นฐานงบในงวด 3Q67 และ 4Q67 อาจจะยังไม่สดใส แต่ในภาพระยะยาวยังมีปัจจัยการฟื้นตัวของจีนที่เป็นความหวังในปี 2568 อยู่ ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับฐานในระดับหนึ่งแล้ว แนะนำให้ใช้ความระมัดระวังหาจังหวะ trading เป็นระลอกๆรับสตอรี่จีน

ในการประเมินมูลค่าหุ้นปรับลด PBV มาที่ 0.79 เท่า (เดิม 0.80 เท่า) สะท้อนกำไรปีหน้าไม่เติบโต ได้ FV ปี 2568 ที่ 2.02 บาท (เดิม 2.06 บาท) โดยในมุมฝ่ายวิจัยมองว่าการเปลี่ยนผ่านสู่หุ้นปันผล ทำให้การปรับขึ้นของราคาหุ้นไม่น่าโดดเด่นกว่ากลุ่มฯ จึงปรับลดคำแนะนำจาก Outperform เป็น Neutral และชอบรองจาก TISCO ที่มี Div Yield และ ROE สูงกว่า 

ปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2568 ที่ 30 บาทต่อหุ้น ปัจจัยขับเคลื่อนยังอยู่ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่จะกลับมาช่วยหนุนความต้องการใช้ผลิตภันฑ์ขั้นปลายให้กลับมาเติบโต คงต้องรอลุ้นปี 2568 ประกอบกับในส่วนของ IVL จะมีประเด็นการนำบริษัทลูก Indovida และ Indovinya เข้าจดทะเบียนในตลท. US / Europe ในช่วงปี 2568 และ 2569 ซึ่งน่าจะเข้ามาสร้างสีสันต่อราคาหุ้นได้บ้าง 

ปรับลดประมาณการกำไรทั้งปี 2567 สะท้อนผลการดำเนินงานปกติ และรายการพิเศษงวด 9M67 ที่ย่ำแย่กว่าคาด และปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 35 บาทต่อหุ้น ภายใต้การรวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯกรณี worst case แล้ว แม้แนวโน้มผลการดำเนินงานในงวด 3Q67 รวมถึง 4Q67 จะยังไม่สดใส แต่คาดว่ามี downside ที่ค่อนข้างจำกัด โดยราคาหุ้นยังอยู่ในช่วงปรับฐาน รอเศรษฐกิจฟื้นตัวโดยเฉพาะจีน ถึงจะขับเคลื่อนราคาหุ้นจากนี้ได้  

แม้คาดการปรับขึ้นของ NPL เป็นปัจจัยลบต่อราคาหุ้น แต่คาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปีถัดไป ช่วยลดแรงกดดันด้านคุณภาพสินทรัพย์ รวมทั้งการเติบโตด้านสินเชื่อ คงประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ซึ่งรวมผลของการลดดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้ง ด้าน Valuation ไม่แพงมี PBV ซื้อขาย 0.5 เท่า (ค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ 0.8 เท่า) และ Div yield ราว 5% ต่อปี คงแนะนำ Outperform                        

จากทิศทางกำไร 3Q67 ที่เติบโตแข็งแกร่งกว่ากลุ่มฯ และแนวโน้มยอดขาย 4Q67 จะดีสุดของปี ขณะที่แรงหนุนจาก Backlog สิ้น 3Q67 รอรับรู้รายได้ไตรมาส 4 เกือบ 8 พันล้านบาท รวมถึงการขายโอนฯ เพิ่มจากแนวราบเปิดใหม่ และคอนโดฯ พร้อมอยู่ เป็นปัจจัยช่วยหนุนต่อ 4Q67 มีกำไรยืนระดับสูง (+/-) 1.5 พันล้านบาท (แต่ต่ำกว่า 4Q66 ที่มีฐานกำไรสูง 2 พันล้านบาท) ด้าน Valuation มี PER ซื้อขาย 7 เท่า และอัตราเงินปันผลกว่า 6% ต่อปี (คาดปันผล 2H67 หุ้นละ 0.70 บาท หรือ 3.4%) คงแนะนำ Outperform FV ปี 2568 ที่ 23.00 บาท (อิง PER 8 เท่า) 

ประเมินแนวโน้มกำไร 4Q67 ยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากลูกค้ากลุ่ม Agent และ Modern Trade ยังคงได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาถึงเดือน ต.ค. แม้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง. จะเป็นผลบวกต่อลูกค้ากลุ่มโครงการ แต่ผลกระทบเชิงบวกดังกล่าวจะยังไม่ส่งผลในระยะสั้นในช่วง 4Q67 นี้ ประเมิน Fair Value โดยใช้วิธี DDM ให้ราคาเหมาะสม 8.20 บาท มี upside จำกัด ให้คำแนะนำ Neutral จากจุดเด่นเรื่อง Div. Yield ที่สูงถึง 6.50% ต่อปี

แม้มีนโยบายภาครัฐหลายเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับ BEM แต่เชื่อทุกนโยบายจะไม่ส่งผลลบต่อ BEM ภายใต้สัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้าที่ทำไว้กับภาครัฐ มุมมองธุรกิจระยะยาวยังเป็นบวก ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF อยู่ที่ 11.00 บาท  

แม้กำไร 3Q67 ไม่เด่น แต่ธุรกิจโรงภาพยนตร์ไม่เคยตายตราบที่มีหนังดีเข้าฉาย หากพิจารณารายชื่อภาพยนตร์ที่ต่อแถวเข้าฉายใน 4Q67 ต่อเนื่องถึงปี 2568 เชื่อว่าผลประกอบการของ MAJOR จะกลับมาเติบโตได้  ให้น้ำหนักลงทุน Outperform  ประเมินราคาเหมาะสม 21.50 บาท มี Upside กว้างและเกราะป้องกันจากโครงการซื้อหุ้นคืนวงเงิน 1,000 ล้านบาท ในช่วงระหว่างวันที่ 16 ก.ค 67- 16 ม.ค 68

เราต้องปรับประมาณการกำไรปี 2567-68 ลงจากเดิม 4% - 6% เหลือ 6.4 พันล้านบาท – 6.8 พันล้านบาท และปรับลด PER ลงเหลือ 22.4 เท่า (จากเดิม -2.0 S.D เป็น -2.5 S.D) สะท้อน SSSG ที่อ่อนแอ โดยขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 11.60 บาท แม้ราคาหุ้นมี upside และคาดกำไรฟื้นขึ้นใน 4Q67 ที่เป็น High season เรายังคงคำแนะนำ “Neutral” เพราะระยะสั้นมีปัจจัยลบจากกำไร 3Q67 ที่จะต่ำลงทั้ง QoQ และ YoY อีกทั้งคาดการณ์กำไรปี 2568 ยังไม่โดดเด่น 

ด้วยการเติบโตของกำไรปีหน้าจำกัด มองราคาหุ้นขาดปัจจัยขับเคลื่อน เหลือเพียง Div Yield ในระดับสูงราว 8% ช่วยจำกัด downside ต่อราคาหุ้น จึงคงแนะนำ Neutral มองว่าธีมดอกเบี้ยขาลง กลุ่ม Non – Bank น่าสนใจกว่า                

แนวโน้มผลประกอบการงวด 4Q67 คาดลดลง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล แต่เพิ่มขึ้น YoY ได้แรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในช่วงไฮซีซั่นปลายปี ซึ่งส่งผลให้ความต้องการบริการทางการแพทย์เพิ่มสูงขึ้น ประเมินราคาเหมาะสมใหม่ปี 2568 อยู่ที่ 36 บาท ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform

แม้ภาพรวมกลุ่มฯ จะยังมีแรงกดดันจากปัจจัยแวดล้อมเชิงลบ กระทบต่อกำลังซื้อ เห็นได้จากสัญญาณยอดขาย 3Q67 ที่ไม่ดีนัก แต่ทิศทางกำไรปกติกลุ่มฯ 3Q67 คาดใกล้เคียง 2Q67 (แต่ยังอ่อนตัว yoy) จากการส่งมอบต่อเนื่องของ Backlog แนวราบ และโอนคอนโดฯ ใหม่ และคาดกำไรเร่งตัวขึ้นใน 4Q67 ซึ่งปกติเป็นไตรมาสดีสุดของปี ตามการเปิดโครงการแนวราบใหม่มากขึ้น, ส่งมอบคอนโดฯ ใหม่ต่อเนื่อง, การใช้กลุทธ์ขายเชิงรุก รวมถึงการใช้ประโยชน์ของมาตรการลดค่าโอนฯ-จดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7ล้านบาท ก่อนสิ้นสุดมาตรการสิ้นปีนี้ ตลอดจนความคาดหวังการผ่อนคลายของดอกเบี้ยไทย และการออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของภาครัฐ ล้วนป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการดำเนินงาน 4Q67 คงแนะนำลงทุนเท่าตลาดสำหรับกลุ่มฯ เลือกหุ้นเด่นในงวดนี้ คือ AP, SPALI และ SC

สถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ SCC ต้องปรับตัวหลายเรื่อง ในช่วงการเปลี่ยนผ่านผลประกอบการยังถูกกดดันจากธุรกิจปิโตรเคมี จึงปรับลดประมาณการกำไรปี 67-68 ลงเฉลี่ย 46% และลดน้ำหนักลงทุนจาก  Neutral เป็น Underperform ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF ใหม่ได้ที่ 270 บาท  

แนวโน้มผลการดำเนินงาน 4Q67 คาดเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น แต่จะปรับตัวลงเทียบกับปีก่อนจากฐานกำไรที่สูงและอาจมีรายการพิเศษเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามา ปรับประมาณการกำไรปี 67-68 ลงเฉลี่ย 10% ประเมินราคาเหมาะสมใหม่อยู่ที่ 60 บาท คงน้ำหนักลงทุน Outperform

ปรับประมาณการกำไรปี 2567-68 ลง 32.4% และ 40.0% จากประมาณการเดิม ประเมิน FV ปี 2568 อิง PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี Discount 0.5 S.D. ที่ 0.46 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 26.75 บาท แม้แนวโน้มกำไรจะลดลงแต่ RCL เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีโอกาสได้รับผลประโยชน์หาก Donald Trump ชนะการเลือกตั้งเดือน พ.ย. นี้ ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดคำแนะนำการลงทุน จาก Outperform เป็น Neutral

ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2567 เป็นต้นไป ให้สอดคล้องกับการปรับประมาณการของ ADVANC ในรอบก่อนหน้า และรวมโครงการใหม่ๆที่ได้รับ PPA เข้ามาในประมาณการ และปรับไปใช้ FV ปี 2568 ที่สะท้อนการควบรวมเป็น NewCo แล้วอยู่ที่ 68 บาท/หุ้น แม้ราคาปัจจุบันจะมี upside จำกัด แต่ยังคาด dividend yield จากปันผลพิเศษ INTUCH กว่า 6 % และหวังส่วนเพิ่มจากธุรกิจ Cloud , Data Cener และการเกิด synergy ใหม่ๆ ที่ยังไม่ถูกรวมไว้ในประมาณการ 

เราได้ปรับไปใช้ราคาเหมาะสมของ INTUCH ที่สะท้อนการควบรวมในปี 2568 เป็น เป็น 112 บาท (บนฐานราคา New Co ที่ 66 บาท) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 3Q67 ที่คาดจะออกมาโต YoY และ 2) คาดผลตอบแทนจากปันผลปกติสำหรับ 2H67 ที่ 2.0 บาท บวกกับปันผลพิเศษ 4.50 บาท ในงวด 1Q68 หรือคิดเป็น yield รวม 6.3% ซึ่งจูงใจในช่วงดอกเบี้ยจะเป็นขาลง

มีโอกาสปรับลดประมาณการปี 2567 หาก GRM 4Q67 ไม่ได้ดีดตัวขึ้นแรง เบื้องต้นคงมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ไว้ก่อนที่ 59 บาทต่อหุ้น ยังให้น้ำหนักตามฤดูกาลของธุรกิจหลักโรงกลั่นที่ทิศทางกำไรปกติน่าจะทำระดังสูงสุดของปีในไตรมาส 1 และจะเห็นการอ่อนตัวลงของค่าการกลั่นในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ก่อนที่จะเริ่มดีดตัวอีกครั้งในช่วงฤดูหนาวปลายไตรมาส 4 ภายใต้ภาวะปกติ ทั้งนี้ช่วงสั้นยังสามารถ trading ได้เป็นระลอกๆตามแนวโน้มค่าการกลั่นรายวัน 

คาดหวังจะเห็นการฟื้นตัวใน 4Q67 จากต้นทุนที่ปรับลงและแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศ ส่วนปี 2568 แผนงานสำคัญคือการพลิกฟื้น Fajar ให้กลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง โดยกำไร 3Q67 ที่อ่อนแอ น่าจะกดดันราคาหุ้นในระยะสั้น คงให้น้ำหนักลงทุน  Underperform ประเมินราคาเหมาะสมปี 2568 ที่ 36.00 บาท 

แนะนำ Outperform จากแนวโน้มกำไรปกติงวด 2H67 เร่งตัว HoH ผสานวงจรดอกเบี้ยขาลงใน EU ประกอบกับ PBV ซื้อขาย 1.9 เท่า ไม่แพงเมื่อเทียบกับ CENTEL และ ERW ที่ 2.4 – 2.5 เท่า ขณะที่ SET ESG RATINGS ของ MINT ที่ AA สูงกว่า CENTEL และ ERW ที่ A จึงลุ้นเม็ดเงินวายุภักษ์ไหลเข้าได้ดีกว่า     

เป้าหมายระยะยาวยังไม่เปลี่ยน SCGD ตั้งเป้ารายได้เติบโต 2 เท่า ภายในปี 2573 นำไปสู่แผนธุรกิจมากมายทั้งการขยายตลาดสุขภัณฑ์ในอาเซียน การเพิ่มรายได้ของธุรกิจตกแต่งพื้นผิวรวมถึงการเข้าซื้อกิจการ อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นในระยะสั้นที่อาจถูกกดดันจากผลประกอบการ 3Q67 ที่ไม่สดใส จึงลดน้ำหนักการลงทุนจาก OUTPERFORM เป็น Neutral ราคาเหมาะสม 11.00 บาท 

ปรับเพิ่ม PBV เป็น 1 เท่า (จากเดิม 0.9 เท่า) ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 5 ปีล่าสุด พร้อมขยับไปใช้มูลค่าพื้นฐานปี 2568 เท่ากับ 30.00 บาท ราคาหุ้นมี upside 20% พร้อมคาดปันผลเฉลี่ย 3-4% ต่อปี จึงคงแนะนำ Outperform 

ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2567 เป็น 1,297 ล้านบาท แต่ยังคงประมาณการกำไรปี 2568 ไว้เท่าเดิมที่ 1,599 ล้านบาท เชื่อผลประกอบการของ TASCO ในปีหน้าจะได้ผลบวกจากการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐที่มากขึ้น หลังปรับประมาณการและขยับไปใช้ราคาเหมาะสมปี 2568 ที่ 21.00 ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform 

แม้คาดว่ากำไรปกติในช่วง 9M67 จะมีสัดส่วน 65% ของคาดการณ์ทั้งปี แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ไว้ตามเดิม เพราะเชื่อว่ากำไรปกติใน 4Q67 จะโตแรง จากทั้งผลบวกของฤดูกาล และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งนี้เราได้ขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 40.0 บาท (อิง PER 32.9 เท่า) คงคำแนะนำ “Outperform” จากกำไรปกติ 3Q67 ที่ยังแข็งแกร่ง และยังมีโมเมนตัมเชิงบวกต่อเนื่องไปอีกใน 4Q67     

หากกำไรปกติ 3Q67 เป็นไปดังคาด จะทำให้กำไรช่วง 9M67 มีสัดส่วนราว 76% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี 2567 เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี 2567 - 2568 ไว้ตามเดิม แต่ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 91 บาท (อิง PER 31.5 เท่า) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) มีปัจจัยบวกจากกำไร 3Q67 ที่จะโตดี YoY, 2) โมเมนตัมกำไรใน 4Q67 สดใส เพราะเป็นฤดูท่องเที่ยว และส่งท้ายปี

การรายงานยอดขาย 3Q67 ที่ดีต่อเนื่อง และคาดเป็นยอดขายสูงสุดของกลุ่มฯ ประจำไตรมาส 3 ประกอบกับทิศทางกำไร 3Q67 จะเติบโต QoQ จากการส่งมอบ Backlog แนวราบ และคอนโดฯ ใหม่ ขณะที่ Valuation ยัง Laggard โดยราคาหุ้น YTD ปรับลดลง 10% ทำให้ PER ซื้อขายเพียง 6 เท่า และผลตอบแทนเงินปันผลจูงใจเฉลี่ย 6% ต่อปี (จ่ายปีละครั้ง) คงแนะนำ Outperform

อิง PER 6.5 เท่า ได้ FV ปี 2568 ที่ 1.77 บาท ตามความเห็นฝ่ายวิจัย TATG มีจุดน่าสนใจจากทิศทางกำไรปี 2567 เติบโตสูงกว่ากลุ่มฯ ประกอบกับยอดผลิตรถยนต์ไทย มีแนวโน้มฟื้นตัวปีหน้า ตามการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ  คาดการณ์หนุนกำไรปี 2568 ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ PBV ซื้อขาย 0.4 เท่า (PER ที่ 4.6 เท่า) ถือว่า ไม่แพงเมื่อเทียบกับ AH, SAT และ STANLY มี PBV ซื้อขาย 0.7, 0.6 และ 0.8 เท่า ตามลำดับ ด้าน Div yield คาดไว้ 9% ต่อปี ภาพรวมถือว่า Valution จูงใจให้ลงทุน   

การเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นใน LANNA น่าจะสร้างกำไรได้มากกว่าดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการกู้ยืมเงินในการเข้าทำธุรกรรม และสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบให้กับ SCCC ฝ่ายวิจัยมีโอกาสปรับประมาณการกำไรขึ้นในอนาคต ยังคงให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมิน Fair Value อิง PER 17 เท่า ได้ราคา 196 บาท   

เบื้องต้นคงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 67 ที่ 180 บาทต่อหุ้น ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบตั้งแต่ปี 67 ที่ 80 เหรียญฯ ภาพใหญ่ยังเป็นหุ้นที่มีความแข็งแรงของกำไรรายปี โดยมีปริมาณขายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก แต่ภาพในระยะสั้นอาจถูกกดดันจากงบ 3Q67 และ 4Q67 ที่ดูไม่สดใส จึงลดคำแนะนำเป็น Neutral จาก Outperform โดยยังสามารถ trading ตามราคาน้ำมันได้จากปัจจัยหนุนปัญหาระหว่างอิหร่านและอิสราเอลหากยืดเยื้อ

คงประมาณการเดิม และขยับไปใช้มูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 23.00 บาท (อิง PER 8 เท่า) ราคามี upside 14% พร้อมคาดเงินปันผลเฉลี่ยสูงกว่า 6% ต่อปี บวกกับทิศทางกำไร 3Q67 คาดเติบโตขึ้นทั้ง YoY และ QoQ หนุนจากส่งมอบต่อเนื่องของ Backlog แนวราบ และคอนโดฯ ใหม่ จึงคงแนะนำ Outperform

แม้ทิศทางกำไร 3Q67 สะดุดลงชั่วคราว แต่ภาพรวมกำไรยังถือว่ายืนระดับสูงต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท/ไตรมาส ขณะที่แนวโน้มกำไร 4Q67 จะกลับมาทำจุดสูงสุดของปี จากแผนเปิดโครงการใหม่มากสุดของปี, ส่งมอบ 3 คอนโดฯ ใหม่ และกำไรพิเศษจาก The Standard จึงคงแนะนำ Outperform ราคาหุ้นมี PER ซื้อขายต่ำกว่า 7 เท่า และ Div Yield 8% ต่อปี

จากสัญญาณยอดขายแนวราบฟื้นตัวขึ้น นำไปสู่ทิศทางกำไรปกติ 3Q67 คาดเติบโต QoQ (ดีกว่าเดิมคาดทำได้เพียงประคองตัว) และพร้อมทำจุดสูงสุดของปีใน 4Q67 มีแรงหนุนจากการส่งมอบคอนโดฯ ใหม่ 2 โครงการ ทำให้การลงทุนในหุ้น SC กลับมาน่าสนใจในมุมมองของฝ่ายวิจัย จึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก Neutral เป็น Outperform พร้อมขยับไปใช้ FV ปี 2568 ที่ 3.46 บาท 

เลือก KBANK (Outperform : FV@B160) และ KTB (Outperform : FV@B21.8) เป็น Top pick กลุ่มฯ จากแนวโน้มการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ ดีกว่ากลุ่มฯ รวมถึงมี SETESG Rating AAA สูงกว่า ธ.พ. ใหญอื่น และ Div Yield 5% ต่อปี ช่วยดึงดูดเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์และ TESG ได้ดีกว่ากลุ่มฯ     

ปรับไปใช้ FV ปี 2568 เท่ากับ 18.60 บาท แม้ราคามี upside แต่ทิศทางกำไรปกติไตรมาส 3 ที่ไม่ได้โดดเด่น และมีโอกาสลดลง qoq ใน 4Q67 ต่อเนื่อง 1Q68 ตามปัจจัยฤดูกาล (ปกติไตรมาส 1 ต่ำสุด) ลดทอนความน่าสนใจในการลงทุนช่วงสั้น จึงปรับลดเป็น Neutral โดย TU ให้ผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 4-5% ต่อปี

คงแนะนำ Outperform ด้วยมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 29.00 บาท จากทิศทางการดำเนินงาน 3Q67 ยังดูดีและคาดกำไรมีโอกาสยืนสูงต่อเนื่อง 4Q67 หนุนจากคำสั่งซื้อเพิ่ม ขณะที่ประมาณการปีนี้เปิด Upside หลังบริษัทมีแผนปรับเพิ่ม Gross Margin ปีนี้จากเดิม 24-26% เป็น 26-28% (ฝ่ายวิจัยคาด 25%) ซึ่งฝ่ายวิจัยจะประเมินอีกครั้งหลังประกาศงบในวันที่ 5 พ.ย. 2567

ทุกโครงการในเกาหลีใต้ได้ถูกรวมในประมาณการแล้ว เบื้องต้นจึงคงประมาณการและ FV ปี 2567 ที่ 30 บาท/หุ้น โดยยังมี upside ส่วนเพิ่มจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในไทยที่ชนะประมูลและได้รับ PPA รอบแรก 145.3 MWe อีก 0.7 บาท/หุ้น อย่างไรก็ตามภาพกำไร 2H67 ยังเป็นช่วงขาลง ช่วงสั้นจึงคงคำแนะนำ NEUTRAL โดยเน้นทยอยสะสมลงทุนระยะยาว  รอการฟื้นตัวรอบใหม่ในปี 2568

คาดกำไรงวด 9M67 จะคิดเป็น 76% ของคาดการณ์ทั้งปี 2567 เราจึงยังคงประมาณการปี 2567 – 2568 ไว้ตามเดิม แต่ขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 288 บาท คงคำแนะนำ“Outperform”  เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากกำไร 3Q67 ที่คาดจะออกมาโตดี YoY, 2) ราคาหุ้นซื้อขายที่ PER ปี 2568 ที่ 21 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3 ปีก่อนที่ 22 เท่า และ 3) เป็นหุ้นที่ให้ปันผลจูงใจ โดยคาดปันผลปี 2567 – 2568 ที่ 3.8% - 4.2% ซึ่งดูจะน่าสนใจมากขึ้นในภาวะดอกเบี้ยขาลง 

แผนธุรกิจ 6 ปีข้างหน้า ให้ความสำคัญต่อการเพิ่มผลตอบแทนจากสินทรัพย์เดิมพร้อมขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศและมุ่งเน้นสินค้าปลายน้ำมากขึ้น ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรปี 67-68 ลงเฉลี่ย 19% สะท้อนความเสี่ยงเศรษฐกิจจีนฟื้นช้า ส่งผลไปถึงราคาผลิตภัณฑ์ในภูมิภาคและการฟื้นตัวของ Fajar ลดน้ำหนักลงทุนเป็น Underperform ประเมินราคาเหมาะสม 36.00 บาท 

แม้มีมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจ ENGINE 2 ที่จะช่วยเพิ่มแหล่งรายได้ประจำ, สร้างความหลากหลายให้กับธุรกิจ และมีโอกาสเป็นเรือธงใหม่ในการผลักดันการเติบโตในอนาคต แต่การลงทุนดังกล่าว คงต้องติดตามความสำเร็จ และช่วงแรกยังไม่เห็นผลกระทบเชิงบวกอย่างมีนัยฯ ต่อประมาณการ จึงคงแนะนำ Neutral FV ปี 2567 ที่ 3.04 บาท เนื่องจากราคามี upside จำกัดเมื่อเทียบกับ Total Return ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q67 คาดอ่อนตัวทั้ง YoY และ QoQ

เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีก “มากกว่าตลาด” จากภาพรวมกำไรปกติของปี 2567 ที่คาดจะโตได้ราว 17% YoY ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดที่คาดจะโตราว 13% YoY แม้ระยะสั้นกำไรโดยรวมของกลุ่มใน 3Q67 น่าจะชะลอลง QoQ แต่จะยังโตได้ดี YoY โดยกำไรกลุ่มน่าจะกลับมาโตดีอีกครั้งใน 4Q67 ที่เป็น High season ของธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง เราเลือก CPALL และ BJC เป็นหุ้น Top picks เพราะนอกจากคาดจะเป็นหุ้นที่มีกำไรใน 3Q67 แกร่ง จาก SSSG ที่โตเด่นกว่ากลุ่มแล้ว ยังได้ประโยชน์จาก “กระเป๋าเงิน ดิจิทัล” ที่จะเริ่มใช้ปลาย ก.ย. 67 นี้ 

ทิศทาง Fund flow ทยอยไหลเข้า, Div yield น่าสนใจ พร้อมปรับไปใช้ FV ปี 2568 เลือก KBANK (Outperform) และ KTB (Outperform) เป็น Top pick กลุ่มฯ จากการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มทำได้ดีกว่ากลุ่มฯ ตามด้วย TTB (Outperform) ที่มี tax shield คาดจำกัดผลจากวัฎจักรดอกเบี้ยขาลงและช่วยให้กำไรโตเด่นกว่ากลุ่มฯ > BBL (Outperform) > TISCO (Neutral) > SCB (Neutral) > KKP (Underperform)     

เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ CBG เพื่อสะท้อนกำไร 9M67 ที่คาดมีสัดส่วน 83% ของคาดกำไรทั้งปี ซึ่งทำให้กำไรปี 67-68 เพิ่มขึ้นราว 10% จากเดิม โดยเราได้ขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 92.75(อิงPER 30.5 เท่า -1.0 S.D) และคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไรช่วง 3Q67 ที่คาดโตทั้ง QoQ และYoY และ2) คาดกำไรปี 2568 ยังเติบโตได้ดี(+11%YoY) จาก       กลยุทธ์คงราคาขาย 10 บาทต่อขวด และเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง

จากการพัฒนาภายใต้กลยุทธ์ Retail Led Mixed Use Development ผ่านการลงทุนโครงการใหม่ต่อเนื่อง และ ปรับปรุงศูนย์การค้าเดิม ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่จะสร้างการเติบโตต่อเนื่องของผลประกอบ และมีโอกาสทำจุดสูงสุดอีกหลายปีข้างหน้า คงแนะนำ Outperform ราคาเป้าหมายปี 2567 เท่ากับ 83 บาท 

เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ TRUE สะท้อนกำไร 9M67 ที่คาดจะออกมามีสัดส่วนถึง 85% ของคาดการณ์ทั้งปี ซึ่งทำให้กำไรปกติปี 2567 – 2568 ปรับขึ้น 21% - 68% จากเดิม โดยเราได้ขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 13.90 บาท คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวก จากกำไรปกติ 3Q67 ที่ยังแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มสดใสต่อไปใน 4Q67 ที่เป็น High season ของธุรกิจ และ 2) จะคาดกำไรปกติปี 2568 โตแรง หลังได้รับประโยชน์เต็มที่จากการควบรวม

ปรับไปใช้ FV ปี 2568 ที่ 102 บาท คงแนะนำ Neutral จากการรักษาระดับการจ่าย Div Yield สูง 8% ตามความคาดหวังของตลาด ช่วยประคองราคาหุ้น แต่ PER ซื้อขายที่ 11 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ 8 เท่า บนแนวโน้มอัตราการเติบโตของกำไรปีหน้าไม่แตกต่างกัน ประเมินทำให้การปรับขึ้นของราคาหุ้นจำกัด โดยมองว่าหากสนใจธีมดอกเบี้ยขาลง กลุ่ม Non – Bank น่าสนใจกว่า               

เริ่มกลับมามีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นโรงแรมมากขึ้น หลังราคาหุ้นเชิง YTD ทั้ง CENTEL, ERW และ MINT ยังติดลบเฉลี่ย 11% เทียบ SET บวก 1.5% YTD มีความเป็นไปได้ว่าราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบพอควรแล้ว ในขณะที่ปี 2568 มองว่าโรงแรมในมัลดีฟส์ (+CENTEL, SHR, MINT) และญี่ปุ่น มีปัจจัยหนุนจากการเปิดส่วนขยายของสนามบินมัลดีฟส์ และงาน Expo 2025 ที่โอซาก้า (+CENTEL) ตั้งแต่ เม.ย. – ต.ค. 68 ประเมินเป็นแรงส่งให้กำไร CENTEL เติบโตสูงกว่ากลุ่มฯ                  

หลายแผนงานที่ SCC กำลังดำเนินการอยู่จะส่งผลบวกในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การปรับประมาณการกำไรภายใต้ข้อมูลที่มีอย่างจำกัดทำได้ลำบาก ฝ่ายวิจัยจึงคงประมาณการเดิมไว้ และให้น้ำหนักลงทุน  Neutral ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF ได้ที่ 320 บาท  

ปรับไปใช้ FV ปี 2568 ที่ 59 บาท แนะนำ Outperform และเลือกเป็น Top pick กลุ่มฯ จากแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ทำได้ดีกว่ากลุ่มฯ ประกอบกับคาดอัตราการขยายตัวเฉลี่ย (CAGR) ของ EPS ปี 2567 – 69 ราว 19% ต่อปี น่าสนใจเมื่อเทียบกับ PER ปี 2568 ที่ 15 เท่า ด้าน SET ESG Ratings ที่ A สูงกว่า SAWAD ที่ BBB (TIDLOR อยู่ระหว่างยื่นข้อมูลให้ SET พิจารณา ผลประกาศช่วง ต.ค.)  

ปรับไปใช้ FV ปี 2568 ที่ 102 บาท คงแนะนำ Neutral จากการรักษาระดับการจ่าย Div Yield สูง 8% ตามความคาดหวังของตลาด ช่วยประคองราคาหุ้น แต่ PER ซื้อขายที่ 11 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ 8 เท่า บนแนวโน้มอัตราการเติบโตของกำไรปีหน้าไม่แตกต่างกัน ประเมินทำให้การปรับขึ้นของราคาหุ้นจำกัด โดยมองว่าหากสนใจธีมดอกเบี้ยขาลง กลุ่ม Non – Bank น่าสนใจกว่า               

แนะนำ Outperform ราคาเป้าหมาย 2.20 บาท จากทิศทางกำไรสุทธิ 3Q67 เติบโต YoY และ QoQ หนุนจากกำไรพิเศษโรงแรม STANDARD ขณะที่ประมาณการกำไรปกติและกำไรสุทธิปีนี้มีโอกาสเปิด upside ไปสู่ฐานปีก่อน นอกจากนี้ Valuation ยังดึงดูดด้วย PER ซื้อขาย 6.6 เท่า และ Div Yield สูงกว่า 8% ภายใต้คาดปันผลปีนี้ 0.15 บาท (1H67 ปันผล 0.07 บาท คาด 2H67 ที่ 0.08 บาท)

จากทิศทางกำไร 3Q67 คาดเติบโตต่อเนื่อง QoQ หนุนจากส่งมอบแนวราบและคอนโดฯ ใหม่ ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานธุรกิจและการเงินคงแข็งแรง, PER ซื้อขายต่ำกว่า 6 เท่า, ราคาหุ้น YTD ปรับลดลง 20% เทียบกับต้นปี และเป็นหนึ่งในหุ้นเป้าหมายกองทุนวายุภักษ์ ด้วยคุณสมบัติหุ้นที่มี ESG Rating ระดับ AA, ติดอยู่ในกลุ่ม SET 100 และเป็นหุ้นปันผลสูงด้วยระดับ Div Yield มากกว่า 6% จึงคงแนะนำ Outperform สำหรับ AP ที่ราคาสิ้นปี 2567 ที่ 13.30 บาท 

ปรับเพิ่มสมมติฐานเงินปันผล หลัง 1H67 จ่ายสูงกว่าคาด (คาด 0.5 บาท จ่ายจริง 1.5 บาท ขึ้น XD 11 ก.ย. 67) หนุน ROE ระยะยาว ให้ PBV ใหม่ที่ 0.67 เท่า (เดิม 0.64 เท่า) พร้อมปรับไปใช้ FV ปี 2568 ที่ 160 บาท คงแนะนำ Outperform เพราะชอบแนวทางการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ ขณะที่แรงผลักดันจาก Fund flow ต่างชาติ, กองทุนวายุภักษ์ และกองทุน TESG (KBANK ได้ SET ESG Rating AAA) คาดเป็นตัวขับเคลื่อนราคาหุ้นในระยะ 1 เดือนข้างหน้า       

เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีก “มากกว่าตลาด” จากภาพรวมกำไรของปี 2567 ที่คาดจะโตได้ราว 17% YoY ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดที่คาดจะโตราว 13% YoY แม้ระยะสั้นกำไรโดยรวมของกลุ่มใน 3Q67 น่าจะชะลอลง QoQ แต่ยังโตได้ดี YoY และกำไรกลุ่มน่าจะกลับมาโตดีอีกครั้งใน 4Q67 ที่เป็น High season ของธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง โดยเราเลือก CPALL เป็นหุ้น Top picks เพราะนอกจากจะเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก “ดิจิทัล วอลเล็ต” กลุ่มแรก ที่คาดจะเริ่มใช้ช่วงปลาย ก.ย. 67 นี้ แล้ว และ CPALL น่าจะมีกำไรใน 3Q67 แกร่งสุด จาก SSSG ที่ยังโตได้ ซึ่งจะช่วยให้ภาพรวมกำไรทั้งปี 2567 ที่คาดจะโตเด่นถึง 29% YoY 

หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเคลื่อนไหวผันผวนมากกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นการจับจังหวะลงทุนถือเป็นสิ่งสำคัญ แนะนำน้ำหนักการลงทุน Neutral โดยเลือก CK เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มฯ

ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของกลุ่มการแพทย์จะเติบโตโดดเด่น หนุนจากปัจจัยตามฤดูกาลของธุรกิจโรงพยาบาลที่เป็นช่วงเข้าสู่ฤดูฝน ทำให้มีการระบาดของโรคตามฤดูกาลสูง ส่งผลทำให้การเข้ารับบริการทางการแพทย์ของผู้ป่วยชาวไทยเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามเกี่ยวกับการกลับมารับบริการของผู้ป่วยคูเวต และการปรับอัตราการบันทึกบัญชีสำหรับโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงของโรงพยาบาลที่รับประกันสังคม ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิปี 2567 ของบริษัทในกลุ่มการแพทย์ที่ทำการศึกษา 4 บริษัท ได้แก่ BH, BDMS, BCH และ PR9 จะอยู่ที่ 26,490 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%YoY และเลือก PR9 (FV@Bt22.10) เป็นหุ้นเด่นจากแนวโน้มกำไรสุทธิในงวด 3Q67 ที่คาดว่าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง อันเป็นผลจากการขยายฐานลูกค้ากลุ่มผู้ป่วยตะวันออกกลาง และประเมินสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติในปี 2567 จะอยู่ที่ราว 16-18% จาก ณ สิ้นงวด 2Q67 ที่ 14%

ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าผลประกอบการของ TASCO ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วตั้งแต่งวด 2Q67 พร้อมหลายประเด็นบวกที่น่าจะส่งผลให้ราคาหุ้นสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดได้ในระยะสั้น จึงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจาก Neutral เป็น Outperform ประเมิน Fair Value อิง PBV เฉลี่ยย้อนหลัง - 0.5 SD ได้ที่ 19.20 บาท 

แนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังฟื้นตัวจากการเข้าสู่ช่วงไฮซี่ซั่น แต่ยังมีปัจจัยกดดันจากการปรับการบันทึกอัตราการจ่ายสำหรับโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ในงวด 4Q67 และจำนวนผู้ป่วยคูเวตที่ลดลงต่อเนื่อง ทำให้มีการปรับเป้าการเติบโตของรายได้ปีนี้ลงเหลือเพียงระดับ Single digit ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 19 บาท ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral 

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 3.1 บาท/หุ้น ช่วงสั้นยังขาดปัจจัยขับเคลื่อนราคาหุ้น จากกำไรปกติงวด 3q67 ที่คาดลดลง QoQ ประกอบกับ Adder  โรงไฟฟ้าล็อตสุดท้าย 90 MW จะหมดในปี 2568 กดดันกำไรในช่วง 1-2 ปีต่อจากนี้ให้ลดลงต่อเนื่อง YoY คงคำแนะนำ Underperform

ปรับประมาณการกำไรปี 2567 ลง 44% จาก 278 ล้านบาท เหลือ 155 ล้านบาท ตามราคาขายและ gross margin ที่ลดลง ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสม อิงค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 10 ปี discount 1 S.D. ที่ 1.04 เท่า ได้ Fair Value 4.04 บาท ไม่มี upside ให้คำแนะนำการลงทุน underperform

จากกำไรปกติ 1H67 มีสัดส่วน 64% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี ทำให้เราปรับประมาณการกำไรปี 67 – 69 ของ OSP ขึ้นเฉลี่ย 10% และสมมติฐาน PER เพิ่มเป็น 34.1 เท่า(เดิม 27.9 เท่า) เพื่อสะท้อนกำไรที่สูงขึ้นกลับมาอยู่ในระดับเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี  ส่งผลให้ราคาเป้าหมายปี 67 เพิ่มเป็น 33.8 จาก 30.5 บาท ยังคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) กำไรปี 2567 ที่คาดการณ์เติบโตกว่า 37%YoY และ2) PER ปัจจุบันที่ 27.3 เท่า ซึ่งต่ำกว่าปีก่อนที่กำไรเติบโตต่ำกว่า

ความน่าสนใจในเชิง Valuation ของหุ้นที่มี PER ซื้อขายต่ำกว่า 5-8 เท่า และ Div Yield เฉลี่ยสูงกว่า 6% ขณะที่การจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 1H67 ราว 2-4% คาดช่วยจำกัด Downside ของราคาหุ้น และมองเป็นโอกาสในการทยอยเข้าสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว จึงคงแนะนำลงทุนเท่าตลาดสำหรับกลุ่มฯ โดยเลือก SIRI, SPALI และ AP เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มฯ

คงประมาณการ แม้แนวโน้ม 2H67 ดีกว่า 1H67 แต่น้ำหนักของกำไรจะอยู่ที่ 4Q67 ที่มีแรงหนุนจากส่งมอบ 2 คอนโดฯ ใหม่ และกำไรพิเศษจากธุรกรรม JV ขณะที่ทิศทางกำไรสุทธิ 3Q67 ยังลง YoY/QoQ และกำไรปกติคาดประคองตัวจากงวดก่อน (แต่อ่อนตัว YoY) จึงแนะนำ Neutral FV ที่ 3.04 บาท (อิง PER 8 เท่า) ทั้งนี้ SC จ่ายเงินปันผล 1H67 หุ้นละ 0.05 บาท หรือ 2% ขึ้น XD 27 ส.ค. 2567

ฐานกำไรหลายไตรมาสข้างหน้ายังอยู่ในระดับต่ำจากแรงกดดันของส่วนแบ่งขาดทุนรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู แต่โอกาสรับงานใหม่ที่จะมีมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังบวกกับการเดินหน้าพัฒนาธุรกิจใหม่ที่จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของกำไรในอนาคต  ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักลงทุน Neutral มูลค่าเหมาะสม 10.20 บาท

เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มพาณิชย์ “มากกว่าตลาด” เนื่องจากคาดกำไรปกติของกลุ่มสำหรับปี 2567 ที่ 5.8 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตราว 17% YoY ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดที่คาดจะโต 13% เราเลือก CPALL และ CPAXT เป็นหุ้น Top picks เพราะมองว่าจะ Outperform ได้ โดยระยะสั้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวที่จะหนุนให้กำไร 3Q67 จาก SSSG ที่น่าจะยังใกล้กับไตรมาสก่อน  ขณะที่หุ้นอื่นชะลอลง นอกจากนี้ภาพรวมกำไรปกติทั้งปีของทั้ง CPALL และ CPAXT คาดโตสูงราว 31% YoY และ 21% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตของกลุ่ม 

ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรจากการดำเนินงานลงจาก 1079 ล้านบาท เหลือ 803 ล้านบาท ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ SJWD โดยใช้วิธี DCF (กำหนดสมมติฐาน WACC ที่ 6.6% และ TERMINAL GROWTH RATE ที่ 3%) ได้ ราคาเหมาะสมที่ 16.30 บาท มี UPSIDE  51% ให้คำแนะนำการลงทุน outperform

คงน้ำหนัก เท่าตลาด กลุ่มฯ ซื้อขายบน PBV เฉลี่ย 0.78 เท่า มองว่าไม่แพง ขณะที่แนวโน้ม Fund flow จากต่างชาติเริ่มมีสัญญาณหวนกลับหุ้นไทย รวมทั้งในประเทศจาก TESG และลุ้นความคืบหน้าวายุภักษ์ เป็นปัจจัยหนุนเชิง Sentimnet เลือก ธ.พ. ที่การควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ทำได้ดีกว่ากลุ่มฯ รวมถึงมี SETESG Rating AAA อย่าง KTB (Outperform) และ KBANK (Outperform) เป็น Top pick กลุ่มฯ คู่กัน ส่วน ธ.พ. อื่นๆ เรียงตามความชอบดังนี้ TTB (Outperform) > BBL (Outperform) > TISCO (Neutral) > SCB (Neutral) > KKP (Underperform)                       

นาทีนี้ CK ถือเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ครบเครื่องที่สุดในตลาดฯ มีความโดดเด่นทั้งเรื่องความมั่นคงของรายได้และการเติบโตของกำไร โดยราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เพราะซื้อขายต่ำกว่า PBV และ PER ในอดีตมาก ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมที่ 27.00 บาท 

ประเมินมูลค่าเหมาะสมอิง Historical PER 10 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 20 เท่า ได้ FV. 6.30 บาท มี upside 21% แต่ให้คำแนะนำเป็น Neutral

ภายหลังปรับลดประมาณการและ FV เหลือ 38 บาท (เดิม 42.5 บาท) ด้วยราคาหุ้นวันศุกร์ฟื้นตัว 15% DoD รับการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ยังไม่หลุดกรอบที่เคยให้ไว้ บางส่วนแล้ว จึงคงให้คำแนะนำ Neutral เพราะมองว่าคุณภาพสินทรัพย์และแนวโน้มการเติบโตของ EPS ไม่ได้เด่นกว่ากลุ่มฯ โดยในกลุ่มจำนำทะเบียนรถ เล่นธีมคุณภาพสินทรัพย์ เลือก MTC (FV@B51) เป็น Top pick

ในช่วงครึ่งหลังของปีจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจโรงพยาบาล โดยเฉพาะในงวด 3Q67 ประกอบกับเทศกาลรอมฎอนที่ผ่านพ้นไป ฝ่ายวิจัยจึงคาดจะเห็นการฟื้นตัวดีขึ้นของคนไข้ตะวันออกกลาง นอกจากนี้ BH จะมีการปรับราคาขึ้นอีก 2% ซึ่งมีการปรับไปแล้วช่วงต้นปี 4% ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 304 บาท ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform

ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมโดยใช้ค่า PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี (ไม่นับช่วง 4Q63 – 2Q65 เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการปิดท่าเรือ) ที่ 0.56 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 32.50 บาท มี Upside 42.6% ให้คำแนะนำการลงทุน outperform

คงประมาณการ แม้ผลประกอบการ 2H67 จะดีกว่า 1H67 ที่มีฐานต่ำ 1Q67 แต่ต้องติดตามความสามารถในการโอนฯ หลังเจอ Rejection Rate สูงขึ้น ขณะที่กำไรปกติ 3Q67 ยังไม่เด่น แม้ฟื้นตัว QoQ  แต่เชิง YoY ยังอ่อนแอ  และกำไรยังน้อยกว่าปกติที่เคยทำได้ ด้านการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปีนี้ อาจต้องรอหลังประกาศงบ 3Q67 ทำให้ราคาหุ้นขาดปัจจัยบวกมาขับเคลื่อน คงแนะนำ Neutral  

แนวโน้มครึ่งปีหลังคาดผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวโดดเด่นจากการเข้าสู่ช่วง High season ของธุรกิจโรงพยาบาล และผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลใหม่ทั้ง 3 แห่งดีขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดให้บริการคลินิคมะเร็งรังสีรักษา ช่วยลดต้นทุนการส่งต่อและดันยอดคนไข้ให้เพิ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 21 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform  

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 เพื่อสะท้อนงบ 1H67 ที่ย่ำแย่กว่าคาดไว้เดิม และได้รวมรายการพิเศษที่เกิดขึ้นในงวด 1H67 ในประมาณการ ส่งผลให้มูลค่าพื้นฐานปี 2567 ใหม่เท่ากับ 120 บาทต่อหุ้น โดยให้น้ำหนักการลงทุนอยู่ที่การจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ปีละ 2 ครั้ง เพราะทิศทางกำไรในระยะ 1-3 ปี ข้างหน้า เป็นการแสวงหาโครงการลงทุนใหม่เพื่อชดเชยโครงการลงทุนเก่าที่อยู่ช่วงท้ายของสัญญา หรือจะทยอยหมดอายุลง จึงยังไม่เห็นปัจจัยขับเคลื่อนที่โดดเด่นยามนี้ 

แนะนำ Outperform FV 83.0 บาท จากโมเมนตัมทำกำไรต่อเนื่อง 2H67 ทำให้กำไรปกติปีนี้ที่คาดทำ New High 1.56 หมื่นล้านบาท เริ่มเปิด upside ขณะที่การลงทุนทั้งปรับปรุงโครงการเดิม และพัฒนาโครงการใหม่ต่อเนื่อง จะผลักดันต่อการเติบโตของผลประกอบการและมูลค่าหุ้นระยะกลาง-ยาว นอกจากนี้การปรับลงของราคาหุ้นที่ผ่านมา ทำให้มี PER ซื้อขาย 15 เท่า ต่ำกว่าอดีตที่ระดับ 20-25 เท่า 

กำไรปกติ 1H67 มีสัดส่วน 64% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี เราจึงมีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ OSP ขึ้น หลังการประชุมนักวิเคราะห์ในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ราคาเป้าหมายปี 2567 ปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 30.50 บาท(PER 27.9 เท่า) ยังมี Upside สูง นอกจากนี้ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไรปกติ 2Q67 ที่ออกมาดี รวมถึงภาพรวมกำไรทั้งปีที่น่าจะโตสูงกว่า 26% จึงคงคำแนะนำ “Outperform”

แม้กำไรปกติ 1H67 ที่ออกมา จะมีสัดส่วน 55% ของคาดการณ์ทั้งปี แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 2567 – 2568 ไว้ตามเดิมที่ 2.9 พันล้านบาท และคงราคาเป้าหมายที่ 22.70 บาท (อิง PER 19.1 เท่า, -1.5 SD) คงคำแนะนำ “Neutral” เพราะ 1) กำไร 2Q67 ออกมาไม่น่าตื่นเต้น และ 2) ระยะถัดไปกำไร 3Q67 เป็นขาลง จากผลของฤดูกาล ซึ่งจะฉุดให้ภาพรวมกำไรทั้งปีทำได้เพียงทรงตัวจากปีก่อน

กำไรปกติใน 1H67 มีสัดส่วน 48% ของคาดการณ์ทั้งปี เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี 2567 ไว้ที่ 8.6 พันล้านบาท (+8% YoY) เพราะเชื่อว่ากำไร 2H67 จะดีกว่า 1H67 โดยยังคงราคาเป้าหมายที่ 39.00 บาท (อิง PER 28.1 เท่า) แม้ระยะสั้นคาดว่ากำไร 3Q67 จะยังเป็นขาลง QoQ แต่เรายังคงคำแนะนำ “Neutral” สำหรับ CRC เพราะ 1)คาดกำไรฟื้นตัวแรงใน 4Q67 และ 2) ราคาหุ้นปัจจุบันถือว่า Laggard กลุ่ม โดยปรับลงมาถึง 37% YTD แย่กว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มพาณิชย์ราว 30% 

ครึ่งหลังของปีเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว การจับจ่ายใช้สอยมักจะมากกว่าช่วงครึ่งแรกของปี ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น  อีกทั้งส่วนแบ่งกำไรขาดทุนของบริษัทร่วมอีก 6 แห่ง คาดรับรู้เข้ามามากขึ้น ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 65 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform

ฝ่ายวิจัยยังอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานใหม่ ช่วงสั้นคาดราคาหุ้นยังมีความผันผวน จากประเด็นความกังวลด้านการจัดหาแหล่งเงินทุน และแผนการดำเนินธุรกิจในอนาคต ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ขณะที่คำแนะนำด้านปัจจัยพื้นฐานระยะยาว ยังคง Underperform จากฐานกำไรที่ลดลง ตามธุรกิจหลักโรงไฟฟ้าที่รายได้ Adder จะทยอยหมดต่อเนื่องไปจนถึงปี 2572 

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567-68 ลง สะท้อนผลประกอบการ 1H67 ที่ต่ำกว่าคาด และโครงการ SPN ที่ค่าความพร้อมจ่ายไฟลดลง ส่งผลให้ FV ใหม่ปี 2567 อยู่ที่ 7.8 บาท/หุ้น (เดิม 8.2) แนวโน้มกำไรปกติช่วงสั้นยังไม่โดดเด่น ต้องรอ 4Q67 ที่คาดเป็นช่วง Peak ของปี และภาพกำไรปี 2568 เป็นต้นไปที่เริ่มฟื้นตัว YoY

 คงประมาณการ และ FV ณ สิ้นปี 2567 ที่ 10.9 บาท/หุ้น ประกาศจ่ายปันผลงวด 1H67 ที่ 0.25 บาท/หุ้น คิดเป็น dividen yield 1H67 ที่ 3.5% ประกอบกับทิศทางกำไรปกติ 3Q67 คาดฟื้นตัว QoQ จึงสามารถเน้นหาจังหวะ TRADING ตามทิศทางค่าการกลั่นที่ฟื้นตัว และการจ่ายปันผลในระดับที่ดีได้

Neutral ด้วยอัตราการขยายตัวกำไรปกติงวดล่าสุด 6% YoY (Norm EPS ลบ 1.5% YoY เพราะการใช้สิทธิ ERW-W3) แผ่วเบาเมื่อเทียบกับ PER ซื้อขาย 21 เท่า รวมถึงความไม่แน่นอนของสัญญาเช่าที่ของ Grand Hyatt (สัดส่วนราว 20% ของรายได้) ซึ่งอยู่ระหว่างภาครัฐ (เจ้าของที่ดิน) พิจารณาความเหมาะสมของค่าเช่าใหม่ ภาพรวมข้างต้นคาดเป็นเหตุให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวทางบวกจำกัด                        

อิง DCF ปรับไปใช้ FV ปี 2568 ที่ 69 บาท คงคำแนะนำ Outperform จากแนวโน้มกำไรปกติ 4Q67 – 2Q68 ขยายตัว YoY ต่อเนื่อง ด้านราคาหุ้นปรับฐาน สะท้อนการขอคืนพื้นที่ดิวตี้ ฟรี และการดำเนินงานที่อยู่ในช่วง Low season พอควรแล้ว หากราคาหุ้นปรับฐานต่อจากความไม่แน่นอนทางการเมือง มองเป็นโอกาสสะสม เพราะประเมินภาคท่องเที่ยวยังคงได้รับการสนับสนุนจากทุกรัฐบาล 

ผลประกอบการ 2Q67 ที่น่าผิดหวัง และความเสี่ยงเกี่ยวกับปัญหาต้นทุนบานปลายที่อาจมีอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรปีนี้ลง 53% สำหรับปี 2568 ปรับกำไรลง 44% โดยยึดหลักอนุรักษ์นิยมเรื่องมาร์จิ้น ลดคำแนะนำจาก Outperform เป็น Neutral ประเมินราคาเหมาะสมใหม่ที่ 3.96 บาท   

ปรับกำไรปี 2567 ลงอีก 42% สะท้อนกำไร 1H67 ที่ตกต่ำ แต่ยังคงประมาณการกำไรปี 2568 ไว้เท่าเดิม เชื่อจะเห็นการฟื้นตัวดีขึ้นของมาร์จิ้นธุรกิจก่อสร้างหลังรับรู้ค่าใช้จ่ายพิเศษจำนวนมากไปแล้วในปี 2567 อีกทั้งส่วนแบ่งขาดทุนรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูจะทยอยลดลง  แนะนำ Neutral มูลค่าเหมาะสม 10.20 บาท

ปัญหาด้านสภาพคล่องและภาระหนี้สินที่อยู่ในระดับสูง ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อการอยู่รอดของบริษัทและเป็นเหตุผลที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินเป็นไตรมาสที่ 3 แม้ปัจจุบัน ITD อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อขายทรัพย์สินต่างๆออกไป แต่ยังไม่สามารถประเมินช่วงเวลาได้ ให้น้ำหนักลงทุน Underperform 

CK ถือเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ครบเครื่องที่สุด ไม่ว่าจะเป็น Backlog ที่มีสูงถึง 2.2 แสนล้านบาท พร้อมโอกาสรับงานเพิ่มเติมอีกจากโครงการลงทุนของ BEM รวมถึงงานประมูลภาครัฐอื่นๆ ขณะที่บริษัทลูกทั้ง BEM และ CKP มีแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่น ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสม 27.00 บาท 

จากกำไร 2Q67 ที่ออกมาดีเกินคาด และจะมีโอกาสสูงขึ้นต่อใน 3Q67 จะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อราคาหุ้น จึงแนะนำ Outperform มูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 27.50 บาท (อิง PBV 0.9 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 5 ปี) โดย CPF จ่ายปันผลสำหรับ 1H67 หุ้นละ 0.45 บาท หรือ 1.9% ขึ้น XD วันที่ 29 ส.ค. 2567

เบื้องต้นฝ่ายวิจัยคงประมาณการ 2567-68 มูลค่าพื้นฐานปี 2567 อยู่ที่ 36 บาท/หุ้น แม้ราคาหุ้นจะปรับฐานลงมาในระดับหนึ่งแล้วจนมี Downside จำกัด แต่ภาพรวมธุรกิจของ RATCH ยังขาดปัจจัยบวกขับเคลื่อนราคาหุ้น มีเพียงการจ่ายปันผลสม่ำเสมอในระดับที่ดี Dividend Yield 5.6% ต่อปี 

ปรับลดประมาณการกำไร 2567 สะท้อนงบ 1H67 ที่ย่ำแย่กว่าคาด ส่งผลให้มูลค่าพื้นฐานปี 2567 ใหม่อยู่ที่ 5.8 บาทต่อหุ้น (เดิม 7 บาท) ราคาหุ้นปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆจนมี downside ที่จำกัดแล้วระดับหนึ่ง ประกอบกับคาดหวังผลบวกจากการเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูกาลในช่วงปลายปี แนะนำหาจังหวะเข้า trading ช่วงสั้นๆเป็นรอบๆตามทิศทางราคาถ่านหินและก๊าซฯที่เปลี่ยนแปลงไปได้ 

คงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 15 บาท/หุ้น ช่วงสั้นอาจเน้นหาจังหวะเข้า Trading รับผลประกอบการงวด 3Q67 ที่คาดจะเข้าสู่ช่วง peak ของปี อย่างไรก็ตาม ภาพใหญ่ปี 2567 เห็นกำไรลดลงจากฐานสูงในปีก่อน ขณะที่ทิศทางกำไรในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า คาดเพียงประคองตัว ไม่โดดเด่น จึงคง underperform  

คาดการดำเนินงานยังดีต่อเนื่องใน 2H67 ทำให้ประมาณการกำไรปกติทั้งปีที่ 4.8 พันล้านบาท มีโอกาสเปิด Upside ประกอบกับความน่าดึงดูดของ Valuation ด้วย PER ซื้อขายต่ำกว่า 6 เท่า, PBV 0.6 เท่า พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผล 1H67 ตามคาด 0.07 บาท/หุ้น หรือ 4.4% (ขึ้น XD 28 ส.ค. 2567) เชื่อว่ายังสร้างความน่าสนใจในการลงทุนและขับเคลื่อนราคาหุ้นให้ Outperform ตลาดฯ ได้ 

แม้จะมีสัญญานดีจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ยอดขายที่ดินที่ทำได้มาก ส่งผลให้ระดับ backlog ปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การปรับราคาขายที่ดินเพิ่มขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา  แต่ผลประกอบการ 2Q67 ที่ออกมาลดงทั้ง QoQ, YoY และต่ำกว่าที่ประมาณการไว้มาก น่าจะมีแรงเทขายในระยะสั้น ฝ่ายวิจัยลดน้ำหนักการลงทุนจาก OUTPERFORM เป็น NEUTRAL

กำไรสุทธิมีแนวโน้มทำจุดสูงสุดของปีในงวด 3Q67 เนื่องจากเป็นช่วง High Season ของธุรกิจโรงพยาบาล ประกอบกับการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปัจจัยเหล่านี้จะส่งเสริมความต้องการทางการแพทย์ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 33 บาท ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform

คงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 9.8 บาท/หุ้น แม้งวด 3Q67 คาดทิศทางกำไรยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ถือป็นไปตามปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ภาพใหญ่ปี 2567 เห็นฐานกำไรลดลง ภายใต้สัญญาฉบับใหม่ ที่มีราคาขายน้ำต่ำลง YoY ทำให้คาดหวังการจ่ายปันผลทั้งปี 2567 ได้ราว 5-6%/ปี  ซึ่งไม่โดดเด่น เมื่อเทียบกับฐานเดิมในอดีต 

กำไรปกติ 1H67 มีสัดส่วนเพียง 28% ของคาดการณ์กำไรทั้งปีของเรา เราจึงต้องปรับประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ลงจากเดิมเฉลี่ย 21% ส่งผลให้ราคาเป้าหมายลดจาก 14.20 บาท เหลือ 11.90 บาท (SOTP) คงแนะนำ “Neutral” แม้แนวโน้มของทั้ง Jmart Mobile และ JMT ใน 3Q67 ยังดูไม่สดใส จากกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ แต่ยังมี upside จาก JMT ที่อยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนกับสถาบันการเงินเพื่อจัดตั้ง บ.ใหม่ ที่ทำธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ซึ่งคาดจะแล้วเสร็จใน 4Q67

กำไรปกติ 1H67 มีสัดส่วนราว 51% ของคาดการณ์ทั้งปี แต่เรายังคงประมาณการกำไรปกติปี 2567 (+31% YoY) ไว้ตามเดิม และคงราคาเป้าหมายที่ 88 บาท (อิง PER 33.3 เท่า) เพราะมองว่าจะมี upside ต่อประมาณการไม่มากนัก จากกำไร 3Q67 ที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากผลของฤดูกาล คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) มีปัจจัยบวกจากกำไร 2Q67 ที่ดีกว่าคาด และ 2) ราคาหุ้นยัง laggard กลุ่ม โดยปรับขึ้นเพียง 3% YTD ขณะที่หุ้นในอุตสาหกรรมปรับขึ้นแล้วเฉลี่ย 16% YTD

เรายังคงประมาณการกำไรปกติปี 2567 ไว้ที่ 4.1 พันล้านบาท (-13% YoY) และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 26.30 บาท (อิง PER 25.6 เท่า) เพราะกำไร 3Q67 มีแนวโน้มจะชะลอลงเป็นจุดต่ำสุดของปี จากผลของฤดูกาล จึงเชื่อว่ามี upside ต่อประมาณการไม่มากนัก คงคำแนะนำ“Outperform” เพราะ 1) มีปัจจัยบวกระยะสั้นจากกำไรปกติ 2Q67 ที่ออกมาดี และ 2) ราคาหุ้น laggard โดยซื้อขายด้วย Norm PER ปี 2567 ที่ 20.2 เท่า ขณะที่หุ้นในกลุ่มที่เราศึกษา ซื้อขายเฉลี่ยที่ 21.7 เท่า   

คงประมาณการ แม้ทิศทางกำไรปกติ 2H67 จะดีกว่า 1H67 (เพราะมีฐานต่ำ 1Q67) แต่กำไรปกติ 3Q67 คาดยังไม่เด่น เบื้องต้นประเมินใกล้เคียงงวดก่อน (แต่ยังลดลง yoy) โดยให้น้ำหนักของกำไรไปยัง 4Q67 ที่มีแรงหนุนจากการส่งมอบ 2 คอนโดฯ ใหม่ จึงแนะนำ Neutral โดย SC ประกาศจ่ายเงินปันผล 1H67 ตามคาด 0.05 บาท/หุ้น หรือ 2.2% ขึ้น XD 27 ส.ค. 2567

แม้คาดการฟื้นตัวของผลประกอบการ 2H67 มากกว่า 1H67 แต่น้ำหนักจะเกิดขึ้น 4Q67 เป็นสำคัญ หนุนจากเปิดโครงการใหม่มากสุด, High Season โรงแรม และขาย Terminal 21 พัทยา เข้า LHSC ทำให้รับรู้กำไรพิเศษ ขณะที่ 3Q67 ยังไม่เด่น เพราเปิดโครงการไม่มาก จึงแนะนำเพียง Neutral 

คงประมาณการเดิม ประเมินการดำเนินงาน 2H67 จะดีขึ้นจาก 1H67 นำโดย 3Q67 คาดกำไรสูงต่อเนื่องจากงวดก่อน และโดดเด่น YoY มีแรงส่งจาก Backlog แนวราบรอส่งมอบปีนี้ 8 พันล้านบาท, เปิดแนวราบใหม่เพิ่มขึ้น 2H67 และการโอนฯ ต่อเนื่องของ 4 คอนโดฯ ใหม่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 2Q67 แนะนำ Outperform ที่ FV 22.00 บาท โดย SPALI ประกาศจ่ายเงินปันผล 1H67 หุ้นละ 0.60 บาท (ดีกว่าคาดที่ 0.50 บาท/หุ้น) หรือ 4% ขึ้น XD 27 ส.ค. 2567

คงประมาณการเดิม และ Outperform ที่ FV 13.30 บาท จากทิศทางกำไร 3Q67 เติบโตต่อเนื่อง QoQ และ 2H67 จะดีกว่า 1H67 หนุนจากการมี Backlog แนวราบรอส่งมอบ, เปิดขายแนวราบใหม่ และโอนต่อเนื่องของ 2 คอนโดฯ ที่สร้างเสร็จไตรมาส 2 รวมถึงอีก 1 คอนโดฯ JV ใหม่ที่มีกำหนดโอนฯ 3Q67 ด้านโครงสร้างการเงินแข็งแรง Net Gearing ต่ำ 0.83 เท่า คาดนำไปสู่เงินปันผลปีนี้สูงถึง 7.6% ต่อปี และราคาหุ้นมี PER ซื้อขายต่ำกว่า 5 เท่า  

แนะนำ Outperform ด้วย FV 16.40 บาท จากกำไร 3Q67 – 4Q67 คาดเติบโต YoY พร้อมผลักดันทั้งปี 2567 มีกำไรปกติ 1.87 พันล้านบาท (+45% yoy) ราคาหุ้นมี Upside 27%, PER ซื้อขาย 8.6 เท่า ต่ำสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มบริษัทที่มีธุรกิจใกล้เคียงกัน (กลุ่มเนื้อสัตว์) รวมถึงคาดหวัง Div Yield ปี 2567 ได้ราว 2% 

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567-68 ลงเฉลี่ย 22% สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจที่ขยายตัวน้อยกว่าคาด และการ COD โรงไฟฟ้าใหม่ของ TPIPP ที่ช้ากว่าเดิม ประเมินราคาเหมาะสมอิง PER 11 เท่า ได้ที่ 1.43 บาท ให้น้ำหนักลงทุน Neutral  ความน่าสนใจอยู่ที่ราคาหุ้นมี Valuation ต่ำมาก วัดจากค่า PER และ PBV 

ปรับประมาณการกำไรปีนี้ลงอีก 47% สะท้อนกำไร 1H67 ที่ตกต่ำ แต่ยังคาดหวังจะเห็นการฟื้นตัวของผลประกอบการที่ชัดเจนตั้งแต่งวด 3Q67 เป็นต้นไปจากการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐบวกกับราคายางมะตอยที่เริ่มขยับขึ้น ให้น้ำหนัก Neutral ประเมิน Fair Value อิง PBV เฉลี่ยย้อนหลัง -0.5 SD ได้ที่ 19.20 บาท 

แนวโน้มกำไรช่วงที่เหลือของปีขยับขึ้นเป็นขั้นบันไดตามธรรมชาติของสื่อโฆษณานอกบ้านที่จะมีอัตราการใช้สื่อเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรปี 2567 จะทะลุหลักพันล้านบาทได้เป็นครั้งแรก และจะมีความต่อเนื่องของกำไรในปีหน้า ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมที่ 10.60 บาท   

ทิศทางธุรกิจสดใสภายใต้สัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าที่เพิ่งได้รับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มเข้ามาเพิ่มเติมและสัญญาสัมปทานทางด่วนที่มีโอกาสขยายอายุต่อไปอีก 22 ปี 5 เดือน แลกกับการลงทุนก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 11.00 บาท  

เบื้องต้นคงมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 เท่ากับ 4.5 บาทต่อหุ้น แต่พร้อมทบทวนประมาณการรอดูปริมาณฝนที่เกิดขึ้นในปีนี้ก่อน อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับฐานลงมาแล้วในระดับหนึ่ง จึงมองเป็นโอกาสที่จะเข้า trading รับช่วงฤดูฝนในงวด 3Q67 ซึ่งคาดกำไรปกติน่าจะขึ้นทำระดับสูงสุดของปีได้ ระยะสั้นจึงเพิ่มคำแนะนำลงทุนเป็น Outperform จาก Neutral

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 30 บาท/หุ้น ประกาศจ่ายปันผล งวด 1H67 ที่ 0.18 บาท/หุ้น คิดเป็น dividend yield ครึ่งปีที่ 0.8% ทิศทางกำไรในช่วง 2H67 คาดจะเริ่มทยอยปรับตัวลดลง QoQ จากต้นทุนก๊าซฯที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คงคำแนะนำ Neutral  รอการฟื้นตัวขึ้นใหม่ในปี 2568 

มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 เท่ากับ 36 บาทต่อหุ้น ทางด้านพื้นฐานเชื่อว่าราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆจนมี downside ที่จำกัดมากขึ้นแล้ว ประกอบกับทิศทางกำไรยังคงมีความแข็งแกร่งจากการเป็น holding companY แต่เนื่องจากมีประเด็นการแทรกแซงของภาครัฐเป็นความกังวลและความเสี่ยงเสมอ จึงอาจต้องใช้จังหวะเข้าลงทุนภายใต้ความระมัดระวังอยู่

ด้วย sentiment เชิงลบต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ราคาเหล็กที่ยังเป็นขาลง ผู้ประกอบการในไทยยชะลอการสั่งซื้อ รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้า จะเป็นปัจจัยกดดันผลประกอบการ 3Q67 ต่อเนื่อง ประเมินมูลค่าเหมาะสมอิง PER เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 12.8 เท่า ได้ Fair Value 4.0 บาท ให้คำแนะนำการลงทุน underperform

ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมโดยใช้ค่า PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี (ไม่นับช่วง 4Q63 – 2Q65 เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการปิดท่าเรือ) ที่ 0.56 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 32.50 บาท มี Upside 42.6% ให้คำแนะนำการลงทุน outperform

กำไรช่วง 1H67 มีสัดส่วน 54% ของคาดการณ์ทั้งปี แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 2567 ไว้ที่ 2.4 พันล้านบาท เพราะคาดกำไรช่วง 2H67 จะต่ำลง HoH คงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 83.0 บาท(อิง PER 34.0 เท่า) และคงคำแนะนำ “Outperform” จาก 1) กำไร 2Q67 ที่ออกมาดี โตทั้ง QoQ และ YoY, 2) ภาพรวมกำไรทั้งปี ยังมีแนวโน้มฟื้นตัว 27% YoY และ 3) ราคาหุ้นยัง Laggard โดยราคาปรับลงมาแล้ว 22% YTD ขณะที่คู่แข่งอย่าง OSP ปรับขึ้นไปราว 7% YTD

กำไร 1H67 มีสัดส่วน 47% ของคาดการณ์ปี 2567 ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 250 (+47% YoY) ไว้ตามเดิม เพราะเชื่อว่ากำไร 2H67 จะดีกว่า 1H67 และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 6.60 บาท (อิง PER ที่ 16.4 เท่า) รวมทั้งคงคำแนะนำ “Outperform” สำหรับหุ้น ADVICE เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 2Q67 ที่ออกมาดีทั้ง QoQ และ YoY และ 2) ราคาหุ้นซื้อขายที่ PER ปี 2567  ราว 10 เท่า ถูกกว่า COM7 ซึ่งคาดจะมีกำไรที่โตต่ำกว่า แต่ซื้อขายที่ PER 17 เท่า

มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 เท่ากับ 26 บาทต่อหุ้น คาดราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมาน่าจะสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์จนมี Downside จำกัดมากขึ้น อีกทั้งคาดทิศทางกำไรจากนี้น่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ในงวด 3Q67 ประกอบกับยังเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลทุกไตรมาส จึงแนะนำหาจังหวะเข้าลงทุนภายใต้ความระมัดระวัง เนื่องจากตลาดในภาพใหญ่ยังมีความผันผวนสูง 

ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 46 บาทต่อหุ้น ยังให้น้ำหนักการลงทุนด้านพื้นฐานตามฤดูกาลของธุรกิจหลักโรงกลั่นที่ GRM แปรผันตามฤดูกาลภายใต้ภาวะปกติ แต่ทั้งนี้สามารถ trading สะสมขณะที่หุ้นย่อตัว เพราะเชื่อว่าน่าจะเห็นจังหวะการดีดตัวของราคาหุ้นได้เป็นระลอกๆตามทิศทางค่าการกลั่น 

คงมูลค่าพื้นฐานปี 2567 อยู่ที่ 36 บาทต่อหุ้น ภายใต้การรวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯกรณี worst case แล้ว ทั้งนี้ราคาหุ้นยังอยู่ในช่วงปรับฐาน รอเศรษฐกิจฟื้นตัวโดยเฉพาะจีน ถึงจะเป็นบวกต่อราคาหุ้นจากนี้ได้  

ภายหลังปรับลดประมาณการ FV ใหม่อยู่ที่ 18.4 บาท (เดิม 26 บาท) ราคาหุ้น           3 เดือนที่ผ่านมาปรับฐาน 27% VS SET Index ลบ 5.6% ทำให้ PER ซื้อขาย 11 เท่า (MTC 15 เท่า และ SAWAD 9 เท่า) มองรับแรงกดดันด้าน NPL พอควรแล้ว จึงคงแนะนำ Outperform ทิศทาง EPS ขยายตัวและ ROE ฟื้นตัว              

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567-68 ลง สะท้อนปริมาณขายน้ำมันที่ลดลง และปรับปรุงสมมติฐาน WACC ใหม่ให้สอดคล้องกับความผันผวนของตลาดมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ Fv ใหม่อยู่ที่ 17.0 บาท/หุ้น (เดิม 20.5) แนวโน้มกำไรช่วงสั้น 3Q67ยังอ่อนตัว QoQ อีกทั้งยังมีแรงกดดันราคาหุ้นจากความกังวลด้านกฏหมายควบคุมราคาน้ำมัน ที่อาจกระทบต่ออัตรากำไรของผู้ประกอบการ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจน ช่วงสั้นจึงปรับลดคำแนะนำลงเป็น underperform 

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 56 บาท แม้กำไรช่วงสั้น 3Q67 คาดอ่อนตัว QoQ แต่ปัจจัยพื้นฐานระยะยาวยังแข็งแกร่ง จากธุรกิจหลักโรงไฟฟ้าที่มี backlog รอทยอย COD อีกหลายโครงการ พร้อมคาดหวัง upside ส่วนเพิ่มจากการ synergy ธุรกิจใหม่ได้อีกมาก เน้นหาจังหวะทยอยสะสมลงทุนระยะยาว

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 55 บาท ทิศทางกำไรปกติช่วงสั้นยังเติบโตได้ QoQ ประกอบกับภาพใหญ่รายปียังเห็นกำไรทยอยฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง YoY จากทั้งต้นทุนก๊าซฯที่ลดลง และโครงการใหม่ที่เริ่ม COD ในช่วง 2H67 ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside สูง แนะนำหาจังหวะทยอยสะสมลงทุนระยะยาว 

กองทัพหนังแฟรนไชส์และหนังไทยจำนวนมากที่เตรียมเข้าฉายช่วงครึ่งปีหลัง น่าจะช่วยหนุนผลประกอบการให้กลับมาดูดี โดยจุดเปลี่ยนสำคัญจะเกิดขึ้นในปีหน้าจากการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของหนังฮอลิวูด ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform  ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF ได้ที่  21.50 บาท และมีเกราะป้องกันจากโครงการซื้อหุ้นคืนวงเงิน 1,000 ล้านบาท ในช่วงระหว่างวันที่ 16 ก.ค 67- 16 ม.ค 68 

แม้กำไร 1H67 ที่ออกมามีสัดส่วนราว 44% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี 2567 แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี  2567 ไว้ที่ 1.06 หมื่นล้านบาท (+23% YoY) และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 37.00 บาท (อิง PER 36.9 เท่า) เพราะคาดว่ากำไรใน 2H67 จะดีกว่า 1H67 โดยคงคำแนะนำ “Outperform” สำหรับ CPAXT เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 2Q67 ที่ยังโตแรง YoY, และ 2) แนวโน้มกำไรใน 2H67 ที่จะสดใสขึ้น หนุนจากกำไรใน 4Q67 ที่เป็นช่วง High season ของธุรกิจ 

จากกำไร 1H67 ที่ยังโตต่ำและมีสัดส่วน 50% ของคาดการณ์ทั้งปี ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรปี 2567 ไว้ที่ 644 ล้านบาท (+1% YoY) เพราะมองว่ากำไร 2H67 น่าจะใกล้เคียงกับ 1H67 โดยคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 14.7 บาท (อิง PER 21.9 เท่า, -2 S.D) และคงคำแนะนำ “Neutral” แม้กำไร 2Q67 แนวโน้มกำไร 3Q67 จะลดลง QoQ ต่ออีก แต่คาดผลตอบแทนจากปันผลปี 2567 ที่ 4.0% ซึ่งยังจูงใจ

แนวโน้มผลการดำเนินงานงวด 3Q67 มีแนวโน้มเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากการเข้าสู่ช่วง High season และการขยายฐานคนไข้กลุ่มตะวันออกกลางมากขึ้น ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 22.10 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform

แนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรกจากการเข้าสู่ช่วง High season ประกอบกับนักท่องเที่ยวชาวตะวันออกกลางกลับมามากขึ้นหลังจบเทศกาลรอมฎอน ส่งผลให้คาดว่าจำนวนผู้ป่วยตะวันออกกลางมาใช้บริการมากขึ้น ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 304 อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform

ประเมินมูลค่าเหมาะสมอิง PER เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ที่ 14.7 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 9.0 บาท แม้ story ในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มดีและ upside เปิดกว้าง แต่ผลกระทบจากเรื่องราคาหุ้น ANI ที่ลดลงมาก  ประกอบกับการประมูล AOTGA ที่ล่าช้า จะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้น จึงให้คำแนะนำ Neutral

แม้กำไร 1H67 จะมีสัดส่วน 53% ของคาดการณ์ทั้งปี แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 67 ไว้ที่ 1.4 พันล้านบาท (+28% YoY) เพราะคาดกำไร 2H67 จะต่ำกว่า 1H67 โดยคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 22.6 บาท (อิง PER 20.8 เท่า -1 S.D) และคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 2Q67 ที่โตได้ทั้ง QoQ และ YoY, 2) คาดปันผลปี 2567 ในอัตราสูง 7.1% และ 3) ราคาหุ้นซื้อขายด้วย PER ปี 2567 ที่ 14.2 เท่า ถือว่าถูกกว่าหุ้นกลุ่มเครื่องดื่มอื่นๆ

คงประมาณการและ FV ณ สิ้นปี 2567 ที่ 8.0 บาท/หุ้น ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นปรับฐานลงมาแล้วกว่า 22% เชื่อสะท้อนปัจจัยลบจากกำไรปกติ 2Q67 ที่ลดลง QoQ  มาแล้วระดับหนึ่ง จนคาดเริ่มมี downside จำกัด ช่วงสั้นอาจเน้นหาจังหวะ trading รับกำไรปกติงวด 3Q67 ที่คาดจะขึ้นทำระดับสูงสุดของปี อีกทั้งภาพใหญ่รายปีเริ่มเห็นกำไรฟื้นตัว YoY จึงปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น Neutral  

แม้ปรับลดกำไรปกติปี 2567 ลงจากเดิม 4.3% อยู่ที่ 5.64 พันล้านบาท (+12.5% yoy) แต่ถูกชดเชยกับการลดทุนโดยตัดหุ้นที่ซื้อคืน ทำให้ FV ปีนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 19.00 บาท คงแนะนำ Outperform มองแนวโน้ม 2H67 จะดีกว่า 1H67 โดยคาดกำไรปกติ 3Q67 ยังเติบโต QoQ และ YoY ราคาหุ้นมี upside 32%, PER ซื้อขาย 11.5 เท่า และปันผล 1H67 หุ้นละ 0.31 บาท หรือ 2.2%

คงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 5.8 บาท/หุ้น อิง EPS ปี 2567 ที่ 0.26 บาท/หุ้น และ PER เฉลี่ยถ่วงน้ำหนักเท่าเดิมที่ 22.0 เท่า ทิศทางกำไรปกติในช่วง 2H67 คาดเริ่มทยอยฟื้นตัวดีขึ้น QoQ รวมถึงภาพใหญ่รายปี 2567 เริ่มเห็นกำไรฟื้นตัวกลับสู่ฐานเดิมปี 2564 ได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปัจจุบันเต็มมูลค่าพื้นฐาน จึงให้คำแนะนำ Neutral

เราได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายของ INTUCH ขึ้นเพื่อสะท้อนการปรับปรุง ADVANC ไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้ราคาเหมาะสมปี 2567 ปรับจากเดิมที่ 70-90 บาท เป็น 95.00 บาท ปรับคำแนะนำจาก “Neutral” เป็น “Outperform” เนื่องจาก 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 2Q67 ที่ออกมาดี โตทั้งQoQ และ YoY และ 2) คาดผลตอบแทนจากปันผลปกติสำหรับปี 2567 ที่ราว 4.9% และปันผลพิเศษ 4.50 บาท ในงวด 1Q68 หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากปันผล 5.5% 

หลายปัจจัยลบที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมาย ทำให้ประมาณการกำไรปี 2567 มี ความเสี่ยงถูกปรับลงอีก แต่ยังเชื่อจะเห็นการฟื้นตัวดีขึ้นในปี 2568 จากรายได้ธุรกิจใหม่และส่วนแบ่งขาดทุนรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูที่ลดลง ยังคงให้คำแนะนำ Neutral ประเมินมูลค่าเหมาะสม 10.30 บาท 

ปรับประมาณการปีกำไร 2567 ลง 12.1% เหลือ 578 ล้านบาท อิงสมมติฐานยอดขายที่ลดลง 12.1% ขณะที่ยังคง gross margin ไว้เท่าเดิมที่ 26.0% ประเมิน Fair Value โดยใช้วิธี DDM ให้ราคาเหมาะสม 8.20 บาท มี upside จำกัด ให้คำแนะนำ Neutral จากจุดเด่นเรื่อง Div. Yield ที่สูงถึง 6.54% ต่อปี

เบื้องต้นคงมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 2.4 บาท/หุ้น แต่มีโอกาสสูงที่จะปรับลดประมาณการ และมูลค่าพื้นฐาน หากผลการดำเนินงาน 2H67 ไม่ฟื้นตัวตามสมมติฐานที่กำหนดไว้ ทั้งนี้แม้ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นจะมีการปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆทั้งงบที่อาจยังไม่โดดเด่น และการฟื้นตัวที่ล่าช้าของจีนไปแล้วระดับหนึ่ง  แต่การเข้าลงทุนยังต้องดูภาพตลาดโดยรวม เพื่อความปลอดภัยในการเข้าลงทุนรับธุรกิจที่คาดจะทยอยฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปี 2567 และในปี 2568

กำไรใน 1H67 มีสัดส่วน 48% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี ขณะที่แนวโน้มกำไรน่าจะฟื้นขึ้นได้แรงใน 4Q67 จากผลบวกของฤดูกาล และกระเป๋าเงินดิจิตอล ทำให้เราคงประมาณกำไรปี 67 – 68 ไว้ตามเดิม และคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 9.60 บาท (คงการอิง PER 34.4 เท่า) คงคำแนะนำ “Underperform” เพราะ 1) กำไร 2Q67 ลดแรง QoQ และแนวโน้มใน 3Q67 ยังไม่สดใส, 2) ราคาหุ้นซื้อขายด้วย PER ปี 2567 ที่ราว 36 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 22 เท่า ของหุ้นพาณิชย์ที่ฝ่ายวิจัยศึกษาอยู่มาก

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 3.1 บาท/หุ้น แม้แนวโน้มกำไรช่วงสั้น 3Q67 ยังเติบโตได้บ้าง QoQ แต่ไม่โดดเด่น  อีกทั้งภาพใหญ่รายปียัง มีแรงกดดันจาก ค่า Ft ที่ลดลง และ adder โรงไฟฟ้า 90 MW ที่จะหมดในปี 2568 กดดันฐานกำไรให้ทยอยลดลงต่อเนื่องในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า 

เพื่อสะท้อนกำไรใน 1H67 ที่มีสัดส่วน 56% ของคาดการณ์ทั้งปี 2567 ทำให้เราปรับประมาณการกำไรปี 67 – 68 ของบริษัทขึ้นเฉลี่ย 10% จากเดิม เป็น 3.4 -  3.7 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ส่งผลให้ราคาเป้าหมายปรับขึ้นจาก 252 บาท เป็น 277บาท คงคำแนะนำ“Outperform” เนื่องจาก 1) ระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากกำไร 2Q67 ที่ยังออกมาโตแรง YoY และ 2) ปันผลสำหรับ 1H67 ที่ 4.87 บาท คิดเป็น yield 2%

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 3.6 บาท/หุ้น ประกาศจ่ายปันผล 1H67 ที่ 0.08 บาท คิดเป็น div.yield 1H67 ที่ 3.8% เน้นหาจังหวะ Trading ช่วงสั้น จากทิศทางกำไรปกติ 2H67 ที่คาดจะทยอยฟื้นตัวจาก 1H67 และปัจจัยหนุนเชิงบวกด้านกระแสนโยบายด้านพลังงานสะอาด ที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นระลอกๆ

คงแนะนำ Outperform คุณภาพสินทรัพย์อยู่ในการควบคุมและมีแนวโน้มทำได้ดีกว่ากลุ่มฯ รวมทั้งคาดอัตราการเติบโตของ EPS ปี 2567 – 69 เฉลี่ย 19% ต่อปี สูงกว่า PER ปัจจุบันที่ 15 เท่า บ่งชี้ Valuation ไม่แพง เมื่อเทียบกับการเติบโต         

คงประมาณการ และ แนะนำ Outperform ด้วยมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 29.00 บาท โดยคาดราคาหุ้นตอบสนองเชิงบวกต่อผลประกอบการ 2Q67 ที่ออกมาแข็งแกร่ง ขณะที่แนวโน้ม 2H67 ยังเติบโตในเชิง YoY (แต่อาจอ่อนตัวจาก 1H67) ด้านราคาหุ้นมี upside 38% และ ITC ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 1H67 หุ้นละ 0.40 บาท หรือราว 2% ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 19 ส.ค. 2567

กำไรงวด 1H67 ออกมามีสัดส่วนราว 49% ของคาดการณ์ทั้งปี ทำให้เราคงประมาณการกำไรปี 2567 ไว้ที่ 6.0 พันล้านบาท (-24% YoY) และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 8.05 บาท คงคำแนะนำเดิม “Neutral” แม้กำไร 2Q67 ที่ออกมา จะตกต่ำ YoY และภาพรวมทั้งปีจะยังชะลอตัว แต่ยังมีเงินลดทุนให้แก่ผู้ถือหน่วยในอัตราที่จูงใจ โดยเงินคืนทุนงวด 2Q67 หรือคิดเป็น yield 3.4%  

แม้ DCC จะมีจุดเด่นเรื่องความยืดหยุ่นในการบริหารงานและเครือข่าย Outlet ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่ภาพรวมตลาดยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวโดยเฉพาะฐานลูกค้าหลักของ DCC ที่อยู่ในกลุ่มระดับกลาง-ล่าง ยังขาดกำลังซื้อ  จะเป็นปัจจัยลบกดดันผลประกอบการช่วงหลายไตรมาสข้างหน้า ให้น้ำหนักลงทุน Underperform 

ปรับประมาณการกำไรปี 2567 ลง 18% เหลือ 750 ล้านบาท ประเมินมูลค่าเหมาะสม อิง PER 12 เท่า ได้ FV 4.86 บาท แม้ upside เปิดกว้าง แต่ให้คำแนะนำ neutral เนื่องจากประมาณการกำไรลดลงจากเดิมถึง 18% ประกอบกับสัดส่วน free-float ต่ำเพียง 10.47% และจะอยู่ระดับนี้ไปอย่างน้อย 4-5 เดือน

ปรับกำไรปกติปี 2567 ลงจากเดิม 29% เท่ากับ 5.16 พันล้านบาท (-11% yoy) แต่ในเชิงกำไรสุทธิคาด 6.66 พันล้านบาท โดยรวมกำไรพิเศษขาย Terminal 21 พัทยา แนะนำ Neutral FV ใหม่ 7.00 บาท จากภาพกำไร 2Q67 และ 3Q67 ยังไม่สดใสนัก ต้องรอความโดดเด่นของกำไรใน 4Q67 จากแผนเปิดแนวราบใหม่มากสุดของปี , โรงแรมเข้าสู่ High Season และขาย Terminal 21 พัทยาเข้า LHSC

แม้ราคาหุ้นผ่านการปรับฐานจนเปิด Upside แต่อัตราการขยายตัวของกำไรปกติงวด 2Q67 เชิง YoY เริ่มขยายตัวแผ่วเบาตามฐานกำไรสูงขึ้น ประกอบกับแนวโน้ม 3Q67 อ่อนตัว QoQ ตามฤดูกาลใน EU ขณะที่เทียบ YoY หากกำไรไตรมาสที่เหลือของปีเติบโต 10% - 20% YoY เมื่อเทียบกับ PER ราว 27 เท่า ถือว่าไม่ถูก ภาพรวมทำให้ประเมินราคาหุ้นขาดแรงขับเคลื่อน จึงยังคงแนะนำ Neutral   

ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2567 เป็นต้นไป สะท้อนผลประกอบการในสหรัฐฯที่ลดลง และให้อยู่ภายใต้หลักความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในระยะยาว รวมถึงปรับปรุงสมมติฐาน wacc ใหม่ ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดในปัจจุบันที่มีความผันผวน ส่งผลให้ FV ใหม่ ปี 2567 อยู่ที่ 15 บาท/หุ้น (เดิม 18) แนะนำหาจังหวะ Trading ช่วงสั้น จากกำไรงวด 2Q67 - 3Q67 ที่ฟื้นตัวตัวตามช่วงฤดูกาล ขณะที่ระยะยาวยังขาดความน่าสนใจ จากกำไรปี 2567 ที่ลดลงจากฐานสูงในปีก่อน และโครงสร้างรายได้ของ HPC และ BLCP ที่เริ่มลดตามสัญญา PPA 

เราได้ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2567 – 68 ของ TRUE ขึ้นจากเดิมเฉลี่ย 122% สะท้อนกำไรปกติ 2Q67 ที่สูงกว่าคาดมาก และแนวโน้มในช่วง 2H67 ที่คาดจะดีกว่า 1H67  ซึ่งทำให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ปรับขึ้นจาก 9.60 บาท เป็น 11.00 บาท คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวก จากกำไรปกติ 2Q67 ออกมาดี และ 2) ภาพรวมทั้งปีที่จะพลิกมีกำไรปกติได้จากที่เคยขาดทุนปกติปีก่อน

ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2567 เป็นต้นไป เพื่อสะท้อนการปรับปรุงแผน COD, ดอกเบี้ยจ่าย, และสมมติฐานต้นทุนก๊าซฯ และค่า Ft  ใหม่ ให้อยู่ภายใต้หลักความระมัดระวัง  ส่งผลให้ FV ปี 2567 อยู่ที่ 30 บาท/หุ้น (เดิม 34)  แม้กำไรปกติ 2Q67 ยังเติบโตได้ QoQ แต่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะเริ่มเห็นกำไรเป็นทิศทางขาลง ช่วงสั้นจึงปรับลดคำแนะนำลงเป็น Neutral  รอการฟื้นตัวรอบใหม่ในปี  2568 

ปรับลดกำไรปกติปี 2567 ลงมาอยู่ที่ 1.11 พันล้านบาท (-41% yoy) และ FV ใหม่อยู่ที่ 5.46 บาท คงแนะนำ Neutral ระยะสั้นยังไม่เห็นปัจจัยบวกเข้ามาผลักดันราคาหุ้น หลังภาพกำไรปกติยังไม่สดใสนัก แม้เห็นการฟื้นตัว QoQ รายไตรมาส แต่ในเชิง YoY ยังหดตัว และกำไรยังน้อยกว่าระดับปกติที่เคยทำได้ 

กลุ่มฯ เรียงตามความชอบดังนี้ AOT (Outperform) > CENTEL (Neutral) จากโอกาสเติบโตเพราะโรงแรมใหม่และสัดส่วนรายได้ร้านอาหารในไทยมากสุดในกลุ่มฯ จึงรับประโยชน์จาก Digital wallet สูงกว่ากลุ่มฯ > MINT (Neutral) ซึ่งกำไรกำลังผ่านจุดสูงสุดของปี > ERW (Neutral) ปรับ FV เหลือ 4.3 บาท (เดิม 5.4 บาท) ผ่านการปรับลด Terminal growth rate สะท้อนความไม่แน่นอนของการต่อสัญญาโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ 

เนื่องจากกำไรใน 1H67 น่าจะมีสัดส่วน 49% ของคาดการณ์ทั้งปี เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี 2567 ไว้ที่ 8.6 พันล้านบาท (+8% YoY) เพราะเชื่อว่ากำไร 2H67 จะดีกว่า 1H67 โดยยังคงราคาเป้าหมายที่ 39.00 บาท (อิง PER 28.1 เท่า) และคงคำแนะนำ “Neutral” สำหรับ CRC แม้ระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่จะผลักดันราคาหุ้นจากกำไร 2Q-3Q ที่จะเป็นขาลง  แต่ราคาหุ้นปัจจุบันถือว่า Laggard กลุ่ม เพราะปรับลงถึง 23% YTD ขณะที่ค่าเฉลี่ยของกลุ่มพาณิชย์ลดลง 18% Ytd

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 9.8 บาท/หุ้น แม้ช่วงสั้นเริ่มเห็นผลประกอบการฟื้นตัว QoQ แต่ถือป็นไปตามปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ภาพใหญ่ปี 2567 เห็นฐานกำไรลดลง ภายใต้สัญญาฉบับใหม่ ที่มีราคาขายน้ำต่ำลง YoY ทำให้คาดหวังการจ่ายปันผลทั้งปี 2567 ยังไม่โดดเด่น เมื่อเทียบกับฐานเดิมในอดีต 

ปรับกำไรปกติปี 2567 ลงจากเดิม 24% เท่ากับ 1.6 พันล้านบาท (-36% yoy)  และ FV ใหม่อยู่ที่ 3.04 บาท คงแนะนำ Neutral เนื่องจากทิศทางกำไร 2Q-3Q67 ยังไม่เด่น จึงมองราคาหุ้นขาดปัจจัยขับเคลื่อนระยะสั้น โดยความโดดเด่นของกำไรปีนี้จะเกิดขึ้น 4Q67 มีแรงขับเคลื่อนจากส่งมอบ 2 คอนโดฯ ใหม่ช่วงไตรมาสสุดท้าย 

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 56 บาท ทิศทางกำไรปกติเติบโตทำ New High ได้ต่อเนื่อง ทั้งในระยะสั้น 2q67 และระยะยาว  หนุนหลักจากธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ยังเหลือ Backlog รองรับการ COD อีกหลายโครงการ พร้อมคาดหวัง upside ส่วนเพิ่มจากการ synergy ในธุรกิจใหม่ digital Infrastructure เน้นหาจังหวะเข้าทยอยสะสมลงทุนในระยะยาว

คงแนะนำ Outperform นอกจากทิศทางกำไร 2Q67 ที่ยืนระดับสูง คาด 2H67 ยังมีโมเมนตัมต่อเนื่องจากทุกธุรกิจ ผลักดันกำไรปกติปีนี้ที่คาดทำ New High 1.56 หมื่นล้านบาท มี Downside จำกัด นอกจากนี้การปรับลงของราคาหุ้นที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันมี PER ซื้อขาย 16 เท่า ต่ำกว่าอดีตที่ระดับ 20-25 เท่า 

กำไรครึ่งปีแรกคิดเป็น 59% ของประมาณการทั้งปี ส่วนกำไรครึ่งปีหลังมักต่ำกว่าครึ่งปีแรกจากผลกระทบของฤดูกาล จึงคงประมาณการกำไรไว้โดยยึดหลักอนุรักษ์นิยม ประเมิน Fair Value อิง PER 17 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 196 บาท มี Upside 45% บวกกับเงินปันผลทั้งปี 8 บาท งวดครึ่งปีแรก ประกาศจ่ายปันผล 4 บาท  

แนวโน้มครึ่งปีหลังคาดผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวโดดเด่นจากการเข้าสู่ช่วง High season ผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลใหม่ทั้ง 3 แห่งดีขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดให้บริการคลินิคมะเร็งรังสีรักษา ช่วยลดต้นทุนการส่งต่อและดันยอดคนไข้ให้เพิ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 21 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform  

แนวโน้มการเติบโตมีความชัดเจนจาก Backlog ปัจจุบันที่มีสูงถึง 2.3 แสนล้านบาท และมีโอกาสรับงานเพิ่มเติมอีกจากโครงการลงทุนของ BEM รวมถึงงานประมูลอื่นๆจากภาครัฐ ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรบริษัทลูกเติบโตขึ้นตามผลประกอบการของ BEM และ CKP ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสม 27.00 บาท 

เบื้องต้นคงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 67 ที่ 180 บาทต่อหุ้น ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบตั้งแต่ปี 67 ที่ 80 เหรียญฯ ยังเป็นหุ้นที่มีความแข็งแรงของกำไรในรายไตรมาส และรายปี โดยมีปริมาณขายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ขณะที่สมมติฐานทั้งราคาและปริมาณขายปัจจุบันของฝ่ายวิจัยอยู่ภายใต้หลักความระมัดระวังอยู่แล้ว ดังนั้นมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการได้ โดยยังคงแนะนำในลักษณะ trading ตามราคาน้ำมัน พร้อมรับปันผลสูง โดย 1H67 ประกาศจ่ายปันผล 4.5 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield งวดครึ่งปีที่ 3.2%

สัญญานที่ดีจากปัจจัยต่างๆ เช่น ยอดขายที่ดินที่ทำได้มาก การปรับราคาขายที่ดินเพิ่มขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา รวมไปถึงยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุน 1H67 ที่เติบโตทั้งจำนวนและมูลค่าโครงการ ประเมินมูลค่าเหมาะสมอิง PER 14.8 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 27.30 บาท มี upside 17.7% และมี dividend yield 3.2% ให้คำแนะนำที่ outperform

ด้วยแนวโน้มกำไร 2Q67 ที่ปรับตัวขึ้น ประกอบกับอานิสงส์จาก SYNERGY ต่างๆ มากมาย ฝ่ายวิจัยประเมินว่าราคาหุ้นได้ตอบรับกับปัจจัยรับปัจจัยลบต่างๆ ไปแล้ว ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ SJWD โดยใช้วิธี DCF  ได้ราคาเหมาะสมที่ 18.70 บาท มี UPSIDE  53% ให้คำแนะนำการลงทุน OUTPERFORM

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 55 บาท ช่วงสั้นคาดทิศทางกำไรปกติยังเติบโตต่อเนื่องไปจนถึง 3Q67 ประกอบกับภาพใหญ่รายปียังเห็นการทยอยฟื้นตัวของกำไร YoY จากต้นทุนก๊าซที่ลดลง อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside สูง แนะนำหาจังหวะทยอยสะสมลงทุนระยะยาว 

ปรับลดประมาณกการกำไรปกติปี 2567 เป็นต้นไป เพื่อสะท้อนการขายที่ลดลงและแผนเลื่อน COD  และปรับเพิ่มสมมติฐาน WACC เฉลี่ยขึ้นเป็น 6.1% จากเดิม 5.4% เพื่อให้สอดคล้องกับความผันผวนของสภาวะตลาดในปัจจุบันมากขึ้น ส่งผลให้ FV ใหม่ปี 2567 อยู่ที่ 3.1 บาท/หุ้น (เดิม 3.7) ภาพระยะยาวเห็นทิศทางกำไรอ่อนตัวจากทั้ง Ft ปี 67 ที่ลดลง และ Adder หมดปี 68 คง Underperform

ภายหลังปรับลดประมาณการ ให้ FV ปี 2567 ใหม่ที่ 65 บาท (เดิม 68 บาท) ราคาหุ้น 3 เดือนที่ผ่านมา ปรับฐาน 12% มากกว่า SET ลบ 4% สะท้อนปัจจัยด้านดิวตี้ ฟรี บางส่วนแล้ว จึงประเมินแรงกดดันต่อราคาหุ้นต่ำกว่าการขอคืนพื้นที่ครั้งก่อน คงแนะนำ Outperform ทิศทางกำไรรายไตรมาสโต YoY ต่อเนื่อง ส่วนเชิง QoQ คาดตั้งแต่งวด ต.ค. 67 – มี.ค. 68 จาก seasonality ของท่องเที่ยวไทย                                        

ภาพการฟื้นตัวครึ่งปีหลังยังไม่ชัดเจน โดย Spread ธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่โรงปูนซีเมนต์จะทยอยปิดปรับปรุงเพื่อรองรับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น เป็นไปได้ที่ฝ่ายวิจัยจะปรับประมาณการกำไรปีนี้ลง 20% ให้น้ำหนัก Neutral บนความน่าสนใจที่ราคาหุ้นมี Valuation ต่ำมากจนเกินไป 

กำไรในช่วง 1H67 มีสัดส่วน 50% ของคาดการณ์ทั้งปี เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี 2567 ไว้ที่ 6.7 พันล้านบาท และคงราคาเป้าหมายที่ 12.40 บาท (อิง PER 24.3 เท่า) คงคำแนะนำ “Neutral” แม้ราคาหุ้นยังมี upside เพราะมองว่าระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยใหม่มาผลักดันราคาหุ้น จากกำไร 2Q67 ที่ออกมาตามคาด ขณะที่แนวโน้มกำไรใน 3Q67 ยังเป็นขาลง 

ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรปี 2567 ลงจาก 447 อยู่ที่ 278 ล้านบาท ขณะที่ยังคงประมาณการกำไรปี 2568 ไว้ที่ 491 บาท เนื่องจากยังคาดหวังการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ จะเริ่มเห็นผลอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ช่วง 4Q67 เป็นต้นไป ประเมินมูลค่าเหมาะสมอิง PER เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 12.8 เท่า ได้ Fair Value 4.0 บาท ให้คำแนะนำการลงทุน underperform

คงประมาณการและคำแนะนำ Outperform จากสินเชื่อรายใหญ่ ดูมีช่องให้เติบโต เมื่อเทียบกับสินเชื่อรายย่อยที่ถูกจำกัดด้วยหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ด้าน Valuation มี PBV ซื้อขาย 0.46 เท่า ต่ำกว่าช่วง COVID ที่ซื้อขายเฉลี่ย 0.5 เท่า ทั้งที่แนวโน้ม ROE ตอนนี้สูงกว่า จึงคาดราคาหุ้นได้สะท้อนวัฎจักร NPL   ขาขึ้น และดอกเบี้ยขาลงพอควรแล้ว ขณะที่คาด Div yield ราว 5.1% ต่อปี หรือ 7 บาทต่อหุ้นเท่าปีก่อน แบ่งเป็น 1H67F ที่ 2 บาทต่อหุ้น และ 2H67F ที่ 5 บาทต่อหุ้น  

แนวโน้มกำไร 1H67 น่าจะมีสัดส่วนเพียง 39% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี ทำให้เราต้องปรับประมาณกำไรปี 2567 – 2568 ลงจากเดิมเฉลี่ย 23% ซึ่งทำให้ราคาเป้าหมายลดลงจาก 12.10 บาท เหลือ 9.60 บาท (คงการอิง PER 34.4 เท่า) และปรับคำแนะนำจาก “Outperform” เป็น “Underperform” เพราะ 1) กำไร 1H67 ยังไม่ดีอย่างคาด และแนวโน้มใน 3Q67 ยังไม่สดใส, 2) ราคาหุ้นสะท้อนการฟื้นตัวจากฐานต่ำในปีก่อนแล้ว โดยซื้อขายด้วย PER ปี 2567 ที่ 39.7 เท่า ขณะที่ค่าเฉลี่ยของหุ้นกลุ่มพาณิชย์ที่ฝ่ายวิจัยศึกษาอยู่ที่ราว 23 เท่า 

แม้ปรับกำไรปี 2567 ลงจากเดิม 13% เท่ากับ 5.37 พันล้านบาท และ FV ใหม่ 22.00 บาท แต่ราคาหุ้นยังมี upside 29%, PER ซื้อขาย 6 เท่า พร้อมคาดปันผลปีนี้ 7.6% โดยเป็นปันผล 1H67 ราว 3% ขณะที่ทิศทางกำไร 2H67 จะดีกว่า 1H67 โดยแนวโน้ม 3Q67 กำไรเติบโตต่อเนื่อง QoQ และสูง YoY คงแนะนำ Outperform

ผลประกอบการปีนี้ถูกกดดันจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ฟื้นตัวช้า แต่ภาพระยะยาวยังมีอนาคต จาก New Supply ธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ที่ลดลงอย่างมากในช่วง 3 ปีข้างหน้า ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก โดยมี PBV ต่ำกว่า  1เท่า  ให้น้ำหนักลงทุน  Neutral ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF ได้ที่ 320 บาท  

ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดประมาณการทั้งปี 2567 โดยได้รวมการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ดังกล่าว และรายการพิเศษอื่นที่เกิดขึ้นในช่วง 1H67 ในประมาณการ และภายใต้ประมาณการใหม่ มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 จะลดลงมาอยู่ที่ 26 บาทต่อหุ้น (เดิม 30 บาทต่อหุ้น) คาดราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมาน่าจะสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆโดยเฉพาะประเด็นการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์จนมี Downside จำกัดมากขึ้น อีกทั้งคาดทิศทางกำไรจากนี้น่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง จึงแนะนำหาจังหวะเข้าลงทุนภายใต้ความระมัดระวัง เนื่องจากตลาดในภาพใหญ่ยังมีความผันผวนสูง

แม้มีปัจจัยบวกระยะยาวจากการย้ายฐานการผลิต แต่ฝ่ายวิจัยยังคงให้น้ำหนักกับปัจจัยระยะสั้นยอดขายและยอดโอนที่ดินที่มาจากโครงการ IER และการจัดตั้งกอง REIT ที่ไม่เป็นไปตามแผน ประเมินมูลค่าเหมาะสมอิง Historical PER 10 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 20 เท่า ได้ FV. 6.30 บาท แม้มี upside 25% แต่ให้คำแนะนำเป็น Neutral

แม้กำไร 2Q67 น่าจะออกมาดี แต่เรายังคงประมาณการกำไรปกติปี 2567 ไว้ที่ 4.1 พันล้านบาท (-13% YoY) และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 26.30 บาท (อิง PER 25.6 เท่า) เพราะเชื่อว่ามี upside ต่อประมาณการไม่มากนัก ทั้งนี้เราปรับคำแนะนำจาก “Neutral” เป็น “Outperform” เพราะ 1) มีปัจจัยบวกระยะสั้นจากกำไร 2Q67 ที่จะโตทั้ง QoQ และ YoY และ 2) ราคาหุ้นยัง laggard โดยซื้อขายด้วย PER  ราว 21 เท่า ขณะที่หุ้นกลุ่มพาณิชย์ซื้อขายเฉลี่ยที่ 25 เท่า    

ราคาหุ้น MINT YTD Outperformed SET พอควร แต่ภายใต้ทิศทางกำไรใกล้ผ่านจุดสูงสุดของปี รวมทั้งมุมมองต่ออัตราการเติบโต YoY ตามข้างต้น อาจทำให้การเคลื่อนไหวทางบวกของราคาหุ้นช่วงสั้นเริ่มจำกัด คงแนะนำ Neutral    

คงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 10.9 บาท/หุ้น ช่วงสั้นอาจเน้นหาจังหวะ TRADING ตามค่าการกลั่นที่อาจดีดตัวขึ้นได้เป็นระลอกๆ จาก supply ที่ตึงตัว ในช่วงฤดูกาลเฮอริเคน อีกทั้งคาดหวังการกลับมาจ่ายปันผล ที่ div.yield ราว 5-6%/ปี  ตามผลประกอบการที่คาดจะพลิกฟื้นกลับมาเป็นกำไรสุทธิได้ 

คงแนะนำ Outperform ที่ราคาเป้าหมาย 2.20 บาท จากทิศทางกำไรปกติ 2Q67 เด่นกว่ากลุ่มฯ โดยเติบโตทั้ง yoy และ qoq (สวนทางกลุ่มฯ คาดดีขึ้น qoq แต่ยังลดลง yoy) ขณะที่แนวโน้ม 2H67 ยังดีต่อเนื่องจาก 1H67 ทำให้ภาพกำไรปกติทั้งปีมี downside จำกัด ด้าน Valuation ยังดึงดูดด้วย PER ซื้อขายเพียง 6 เท่า และคาดปันผลระหว่างกาล 1H67 หุ้นละ 0.07 บาท หรือเฉลี่ย 4%

แผนธุรกิจเชิงรุกในการขยายตลาดสุขภัณฑ์ในอาเซียนและการเพิ่มรายได้ของธุรกิจตกแต่งพื้นผิว จะช่วยผลักดันกำไร 5 ปีข้างหน้า ให้เติบโตเฉลี่ย 17%CAGR ส่วนประเด็นคดีฟ้องร้องกับหน่วยงานรัฐทิ่อินโดนีเซีย ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะได้ข้อสรุป  ให้น้ำหนัก Outperform ประเมินราคาเหมาะสม 11.00 บาท  

หากกำไร 2Q67 เป็นไปตามคาด กำไรปกติ 1H67 จะมีสัดส่วน 65% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี โดยเรามีแนวโน้มปรับประมาณการกำไรของ OSP ขึ้น ภายหลังการประชุมนักวิเคราะห์ในเดือนหน้า ทั้งนี้ราคาเป้าหมายปี 2567 ปัจจุบันที่ 30.5 บาท(PER 27.9 เท่า) ยังมี Upside จึงยังคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) มีปัจจัยบวกระยะสั้นจากกำไรปกติ 2Q67 ที่คาดจะออกมาดี และ 2) คาดผลตอบแทนเงินปันผลราว 4% ซึ่งจูงใจ

ประเมินมูลค่าเหมาะสมอิง PER เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ที่ 17 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 10.50 บาท แม้ story ในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มดีและ upside เปิดกว้าง แต่ผลกระทบจากเรื่องราคาหุ้น ANI ที่ลดลงมาก  ประกอบกับการประมูล AOTGA ที่ล่าช้า จะเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำ ฝ่ายวิจัยจึงปรับคำแนะนำการลงทุนลดลงจาก Outperform เป็น Neutral

แม้ปรับลดกำไรปี 2567 ลงจากเดิม 17% เท่ากับ 5.23 พันล้านบาท และ FV ใหม่ลงมาอยู่ที่ 13.30 บาท แต่ราคาหุ้นยังมี upside และ Valuation คงดึงดูดด้วย PER ซื้อขายเพียง 5 เท่า รวมถึงให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงเกิน 7% ต่อปี ขณะที่ทิศทางกำไร 3Q67 จะสูงขึ้น QoQ เพราะยังมีการส่งมอบคอนโดฯ JV ใหม่อีก 1 โครงการ ผลักดันภาพรวม 2H67 จะดีกว่า 1H67 จึงคงแนะนำ Outperform 

ฝ่ายวิจัยแนะนำ Outperform ด้วยราคาเหมาะสมสิ้นปี 2567 ที่ 16.40 บาท (อิง PER 11 เท่า) จากความน่าสนใจดังนี้ 1) ทิศทางกำไรปกติ 2Q67 คาดเติบโตดีทั้ง QoQ และ YoY 2) คาดกำไรปกติปี 2567 เติบโตแข็งแกร่ง 45% yoy หนุนจากปริมาณส่งออกเพิ่ม, ต้นทุนวัตถุดิบลดลง ส่งผลบวกต่อมาร์จิ้น และส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมสูงขึ้น และ 3) Valuation มี PER ซื้อขาย 8.7 เท่า ต่ำสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มบริษัทที่มีธุรกิจเกี่ยวกับเนื้อสัตว์ พร้อมคาดปันผลเฉลี่ย 2% ต่อปี 

เข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง จากการเข้าซื้อหุ้น Fajar เพิ่มเป็น 100% ใน 3Q67 แม้ ระยะสั้นส่งผลลบต่อกำไรเพราะต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยและผลขาดทุนจาก Fajar มากขึ้น แต่จะส่งผลบวกในระยะยาว หากสามารถพลิกฟื้น Fajar ให้กลับมาทำกำไรได้เหมือนอดีต ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral ประเมินราคาเหมาะสมที่ 45.00 บาท เทียบเท่า Implied PER 30 เท่า 

การลงทุนหุ้นในกลุ่มฯ เลือก ธ.พ. ที่การควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ทำได้ดีต่อเนื่อง เรียงตามความชอบดังนี้ KTB (Outperform), KBANK (Outperform) > TTB (Outperform) > BBL (Outperform) สลับจากอันดับ 2 มาเป็นอันดับ 4 จาก NPL ที่เพิ่มขึ้น > TISCO (Neutral) > SCB (Neutral) และชอบน้อยสุดในกลุ่มฯ คือ KKP (Underperform)      

คงประมาณการและ FV ที่ 8.0 บาท/หุ้น ช่วงสั้นอาจมีปัจจัยกดดันจาก Adder หมดทุกโครงการ ตั้งแต่ 2Q67 อีกทั้งภาพระยะยาวยังมีความกังวลจากการหาโครงการใหม่ๆ เข้ามาชดเชยโรงไฟฟ้าที่ขายออกไป ทำให้ฐานกำไรในช่วง 1-2 ปีข้างหน้ายังไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับฐานเดิมในอดีต คง Underperform รอการลงทุนโครงการใหม่ๆ ที่จะเข้าหนุนฐานกำไรให้แข็งแกร่งอีกครั้ง 

แนะนำ Outperform เพราะ tax shield รวมทั้งนโยบายสินเชื่อเข้มงวดต่อเนื่อง ประเมินช่วยให้การบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์คล่องตัวกว่ากลุ่มฯ ด้าน Div yield คาดราว 6.3% หากกำหนด 1H67 จ่ายเท่าช่วงปีก่อนที่ 0.05 บาท เทียบเท่า Div Yield เกือบ 3% มองว่าสูงกว่า ธ.พ. ใหญ่ อื่นๆ            

ด้วยกำไร 1H67 คิดเป็น 48% ของประมาณการเดิม นำไปสู่การปรับลดกำไรปี 2567 – 68 เฉลี่ย 8% ส่งผลให้ FV ต่ำลงในอัตราใกล้เคียงกันเหลือ 102 บาท (เดิม 111 บาท) แนะนำ Neutral แม้ Div yield สูง ช่วยจำกัดการลงของราคาหุ้น แต่คุณภาพสินทรัพย์ไส้ในยังไม่เสถียร คาดทำให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวทางบวกจำกัด              

ภายหลังเพิ่มประมาณการ หนุน FV สูงขึ้นในอัตราใกล้เคียงกันมาที่ 19.8 บาท (เดิม 19 บาท) ปรับจาก Neutral เป็น Outperform เพราะการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ทำได้ดีกว่ากลุ่มฯ ประกอบกับแนวโน้ม ROE สูงกว่าปี 2562 แต่ PBV ยังซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 2562 ที่ 0.8 เท่า มองว่า Valuation น่าสนใจ 

ภายหลังปรับลดกำไร ทำให้ FV ปี 2567 ต่ำลงในอัตราใกล้เคียงกันเหลือ 38 บาท (เดิม 49 บาท) คงมุมมองว่าคุณภาพสินทรัพย์ยังต้องใช้เวลาฟื้นตัว หลังการคุมเข้มสินเชื่อเช่าซื้อรถ เริ่มช้ากว่ากลุ่มฯ ทำให้คาด ROE ปี 2567 – 68 เข้าสู่ขาลงเฉลี่ยเหลือ 6.8% จึงคงคำแนะนำ Underperform   

แนวโน้ม 2H67 ท้าทายขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ด้วยกำไร 1H67 คิดเป็นสัดส่วน 60% ของประมาณการฝ่ายวิจัย มองว่าพร้อมรองรับ ประกอบกับการเริ่มเก็บกวาด NPL ตั้งแต่ 2H65 เร็วกว่ากลุ่มฯ คาดช่วยให้ Credit cost และคุณภาพสินทรัพย์ อยู่ในกรอบการจัดการ ด้าน Valuation น่าสนใจ มี PBV 0.56 เท่า และ Div yield 5.1% ต่อปี โดยคาด DPS งวด 1H67 ที่  0.5 บาท (เท่ากับ 1H66)                    

คงมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 2.4 บาท/หุ้น ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นมีการปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆทั้งงบที่อาจยังไม่โดดเด่น และการฟื้นตัวที่ล่าช้าของจีนซึ่งเป็นผู้บริโภคปิโตรเคมีหลักไปแล้วระดับหนึ่ง ประกอบกับภาพรวมธุรกิจน่าจะทยอยฟื้นตัวตามลำดับในช่วงที่เหลือของปี 2567 แนะนำ Neutral 

คาดกำไรช่วง 1H67 เติบโตเพียง 2%YoY และแนวโน้มที่ดูอ่อนแอต่อเนื่องใน 3Q67  รวมถึงคาดเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าทั้งในไทยและเวียดนาม เราจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 67-69 ลงราว 20% และสมมติฐาน PER ลงจาก 28.7เท่า(-1 S.D) เป็น 21.9 เท่า(-2 S.D)เพื่อสะท้อนคาดการณ์กำไรที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าที่ผ่านมา ทำให้ราคาเป้าหมายลดลงจาก 22.7 บาท เหลือ 14.7 บาท โดยปรับลดคำแนะนำเป็น “Neutral” ถือรอเพื่อคาดหวังกำไรในช่วง 4Q67ที่จะเติบโตและเงินปันผลที่สูงราว4%

แม้การขึ้นของ NPL อาจส่งผลต่อราคาหุ้นช่วงสั้น แต่ฝ่ายวิจัยมองว่าการเตรียม Coverage ratio ระดับสูงช่วงก่อนหน้า ถือว่ามาถูกทาง เพื่อรับมือกับปัญหา NPL ช่วยให้การตั้ง ECL ไม่เร่งตัวจนกระทบต่อกำไรสุทธิ ด้าน PBV ซื้อขาย 0.47 เท่า ต่ำกว่าช่วง COVID ที่ 0.5 เท่า ทั้งที่ ROE สูงกว่า ช่วย Limit downside ต่อราคาหุ้น ขณะที่คาด Div yield ราว 5.1% จึงคงแนะนำ Outperform   

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ของ GULF ที่ 56 บาท โดยประเมินมูลค่าพื้นฐานในเบื้องต้นภายใต้การแปลงจากการควบรวมบริษัทใหม่ คาดราคาอยู่ในกรอบ 42 – 55 บาทต่อหุ้น คงคำแนะนำ Outperform โดยเน้นหาจังหวะทยอยสะสมลงทุน รับการเติบโตที่แข็งแกร่ง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

เพื่อสะท้อนการควบรวมเป็น บ.ใหม่ เราได้ปรับปรุงราคาเป้าหมายของ INTUCH เป็น 70-90 บาท (แปลงจากราคาเหมาะสมของ NewCo ที่ 41-53 บาท) และปรับลดคำแนะนำ จากเดิม “Outperform” เป็น “Neutral” เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นสะท้อนเรื่องการควบรวมไปแล้ว แต่ยังคาดหวังผลตอบแทนจากปันผลปกติสำหรับปี 2567 ที่ราว 4.3% และปันผลพิเศษ 4.50 บาท ในงวด 1Q68 หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากปันผล 5.7% 

ฝ่ายวิจัยยังให้น้ำหนักกับปัจจัยบวกหลายด้าน ได้แก่ ต้นทุนโดยรวมลดลง กิจกรรมการตลาดเชิงรุกรูปแบบต่างๆ รวมถึงการจ่ายเงินปันผลที่เป็นจุดเด่นมาตลอดแม้จะมีปัจจัยลบจากสภาวะตลาดที่ซบเซาก็ตาม ประเมิน Fair Value อิง DDM ได้ราคาเหมาะสม 9.40 บาท มี upside 18.2% และ dividend yield 6.5% ให้คำแนะนำการลงทุน outperform

สำหรับคำแนะนำการลงทุน ฝ่ายวิจัยมองว่า

1.ผู้ที่ปัจจุบันถือหุ้น ADVANC และ THCOM  ฝ่ายวิจัยมองว่าราคาเสนอซื้อที่ 216.3 บาท สำหรับ ADVANC และ 11.00 บาท สำหรับ THCOM  นั้นยังไม่จูงใจ เนื่องจากเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด จึงไม่แนะนำให้รับคำเสนอซื้อ

2.ผู้ที่ปัจจุบันถือหุ้นอยู่ใน INTUCH และ/หรือ GULF มี 2 ทางเลือก คือ

1. หากต้องการจะแลกหุ้นเป็นหุ้นในบริษัทใหม่ จะต้องถือหุ้นไปก่อนจนถึง 2Q68

2. หากไม่ต้องการจะแลกหุ้นไปเป็นบริษัทใหม่ ต้องคัดการควบรวม หรือขายหุ้นออกไปในกระดานซื้อขายฯเอง ก่อนที่จะมีการควบรวม เนื่องจากบริษัทเดิมจะถูกเพิกถอนออกจากตลท.ไป

3.ผู้ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ถือหุ้นใน INTUCH หรือ GULF

หากต้องการจะถือหุ้นในบริษัทใหม่แนะนำให้ “ซื้อ” GULF เพื่อนำไปแปลงเป็นบริษัทใหม่ เพราะหากอิงราคาหุ้นปัจจุบันของทั้ง INTUCH, GULF และอัตราการแปลงหุ้นแล้วพบว่า การแปลงหุ้นจาก GULF ไปเป็นบริษัทใหม่ ยังมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการแปลงจากหุ้น INTUCH ไปเป็นบริษัทใหม่

แนวโน้มผลการดำเนินงานงวด 3Q67 มีแนวโน้มเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากการเข้าสู่ช่วง High season และการขยายฐานคนไข้กลุ่มตะวันออกกลางมากขึ้น ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 22.10 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform

แนวโน้มการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ทำได้ดีกว่ากลุ่มฯ รวมทั้งคาดอัตราการขยายตัวของ EPS ปี 2567 – 69 เฉลี่ย 19% สูงกว่า TIDLOR ที่ 17% และ SAWAD ที่ 12% ประกอบกับทิศทาง ROE จึงคงแนะนำ Outperform         

คงมูลค่าพื้นฐานปี 2567 อยู่ที่ 36 บาทต่อหุ้น ภายใต้การรวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯกรณี worst case แล้ว ทั้งนี้ราคาหุ้นยังอยู่ในช่วงปรับฐาน รอเศรษฐกิจฟื้นตัวโดยเฉพาะจีน ถึงจะเป็นบวกต่อราคาหุ้นจากนี้ได้  

การเติบโตยังมีอย่างต่อเนื่อง ทั้ง Organic growth ที่เกิดจากจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและทางด่วนที่เพิ่มขึ้น พร้อมโอกาสคว้าสัญญาใหม่ทั้งการเดินรถไฟฟ้าสายสีส้ม และทางด่วนชั้นที่ 2 ที่จะมีความชัดเจนในปีนี้ ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF อยู่ที่ 11.00 บาท  

หากกำไร 2Q67 เป็นไปตามคาด กำไรช่วง 1H67 จะมีสัดส่วน 52% ของคาดกำไรทั้งปี 2567 เรายังคงประมาณการกำไรปี 67 เพราะคาดกำไรช่วง 2H67 จะต่ำลงจากกำไรใน 3Q67 ที่ลดลง QoQ โดยคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 22.6 บาท(อิง PER 20.84 เท่า -1 S.D) และคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1)คาดกำไรช่วง 2Q67 เติบโตแรงYoY จากยอดขายรวมที่เติบโตและอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และ2) อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงถึง 6.6% ขณะที่หุ้นในกลุ่มเครื่องดื่มอยู่ที่ 2-3%

หากกำไร 2Q67 เป็นไปตามคาด กำไรช่วง 1H67 จะมีสัดส่วน 53% ของคาดกำไรทั้งปี 2567 แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 67 เพราะคาดกำไรช่วง 2H67 จะต่ำลงHoH คงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 83.0 บาท(อิง PER 34.0 เท่า) และคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1)คาดกำไร 2Q67 เติบโตQoQ และโตแรงYoY จากรายได้รวมที่เติบโต และอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น และ2)ราคาหุ้นCBg ปรับลง 16%YTD ขณะที่ OSp ซึ่งมีคาดกำไรปี 67 ที่ใกล้เคียงกันแต่ราคาหุ้นปรับขึ้นไปแล้ว 6%YTD 

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อกลยุทย์เปิดสาขาแบบ Hybrid เพื่อเร่งยอดขาย แต่เชื่อว่าธุรกิจฮาร์ดไลน์ใน 2Q67 ยังไม่สดใส จากกำลังซื้อที่อ่อนแอ และผลของฤดูกาล เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี 2567 ของ CRC ไว้ที่ 8.6 พันล้านบาท (+8% YoY) คงราคาเป้าหมายที่ 39.00 บาท (อิง PER 28.1 เท่า) และคงคำแนะนำ “Neutral” แม้คาดกำไร 2Q67 - 3Q67 เป็นขาลง จากผลของฤดูกาล แต่ราคาหุ้น Laggard กลุ่ม เพราะปรับลงถึง 21% YTD ขณะที่ค่าเฉลี่ยของกลุ่มลดลง 16%

เพื่อสะท้อน Credit cost สูงกว่าคาด นำไปสู่การปรับลดกำไรสุทธิปี 2567 – 68 เฉลี่ย 5% ส่งผลให้ภาพรวม FV ต่ำลงในอัตราเดียวกัน เหลือ 100 บาท (เดิม 106 บาท) แม้ให้ Div Yield สูงราว 8% แต่คุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอลง มองว่าลดทอนความน่าสนใจด้าน Div yield และ Limit upside ต่อราคาหุ้น                          

มุมมองต่อ SCC ยังไม่เปลี่ยน เชื่อจุดต่ำสุดของธุรกิจได้ผ่านไปแล้วตั้งแต่ 1Q67 จากนี้ไปน่าจะเห็นการฟื้นตัวของผลประกอบการอย่างช้าๆ ธุรกิจปิโตรเคมีจะก้าวออกจากช่วงวัฏจักรขาลงในปีหน้า ให้น้ำหนักลงทุน Neutral ประเมินราคาเหมาะสมใหม่วิธี DCF ได้ที่ 320 บาท  

ลงทุนเท่าตลาดสำหรับกลุ่มฯ เลือกหุ้นเด่นที่มีความผันผวนของกำไรต่ำ,มีพอร์ตสินค้าหลากหลาย และได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ รวมถึงให้ผลตอบแทนเงินปันผลเกิน 7% ต่อปี คือ SIRI (FV@B2.20) และ AP (FV@16.00)

คงประมาณการและคำแนะนำ จากทิศทาง ROE ขยับขึ้นมาที่ 14.8% - 15.6% ตามแนวโน้มการเติบโตของกำไร ขณะที่การปรับฐานของราคาหุ้น 16.6% YTD (VS SET ลบ 6.5% YTD) สะท้อนแรงกดดันด้าน NPL ส่งผลให้ PER ซื้อขาย 11.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่เข้าตลาดที่ 18 เท่า ราว 1 S.D. มองว่า Valuation น่าสนใจ          

กำไรสุทธิมีแนวโน้มทำจุดสูงสุดของปีในงวด 3Q67 เนื่องจากเป็นช่วง High Season ของธุรกิจโรงพยาบาล ประกอบกับการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปัจจัยเหล่านี้จะส่งเสริมความต้องการทางการแพทย์ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 33 บาท ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform

เรายังคงประมาณการกำไรปี 2567 ไว้ที่ 6.7 พันล้านบาท แต่ปรับลด PER ลงจาก 28.1 เท่า (-1.0 S.D) เหลือ 24.3 เท่า (-2.0 S.D) สะท้อนปัจจัยลบใน 1H67 ซึ่งบางส่วนจะต่อเนื่องไปใน 2H67 รวมทั้งผลเชิงลบจากลานีญา ที่จะหนักขึ้นใน 2H67 คงคำแนะนำ “Neutral” แม้ราคามี upside สูง เพราะระยะสั้นมีปัจจัยลบจากกำไร 2Q67 ที่คาดจะต่ำลงทั้ง QoQ และ YoY ขณะที่ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว

แม้ประมาณการกำไรปี 2567 ของฝ่ายวิจัยมี Downside Risk แต่การเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปีงบประมาณ น่าจะทำให้เห็นยอดขายยางมะตอยในประเทศและผลประกอบการฟื้นตัวขึ้นชัดเจนช่วงครึ่งปีหลัง ให้น้ำหนักการลงทุน  Neutral ประเมิน Fair Value อิง Historical PBV ได้ที่ 20.00 บาท

ครึ่งปีหลังหนังไทยยังเป็นพระเอก มีภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องน่าจะสร้างรายได้ดี อาทิ มานะแมน หลวงพี่เท่ง และ ธี่หยด#2 บวกกับหนังแฟรนไชส์จากฮอลิวูดอีกเพียบ ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุน Outperform  ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF ได้ที่  21.50 บาท มี Upside เปิดกว้าง และมีเกราะป้องกันราคาหุ้นจากโครงการซื้อหุ้นคืนวงเงิน 1,000 ล้านบาท ในช่วงระหว่างวันที่ 16 ก.ค 67- 16 ม.ค 68

เรากลับมาศึกษา OSP โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 30.50 บาท (อิง  PER ที่ 27.9 เท่า) แนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 2Q67 ที่คาดจะออกมาดีทั้ง QoQ และYoY, 2) คาดกำไรโดยรวมทั้งปี 2567 มีแนวโน้มโตแกร่งราว 25% และ 3) คาดผลตอบแทนจากปันผลปี 2567 ที่ 3.9% ซึ่งยังจูงใจ   

มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 59 บาทต่อหุ้น ยังให้น้ำหนักตามฤดูกาลของธุรกิจหลักโรงกลั่นที่ทิศทางกำไรปกติน่าจะทำระดังสูงสุดของปีในไตรมาส 1 และจะเห็นการอ่อนตัวลงของค่าการกลั่นในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ซึ่งเป็นช่วง low season แต่ลุ้นได้กับช่วงเฮอริเคน ซึ่งหากรุนแรงอาจเห็นค่าการกลั่นกระโดดขึ้นได้  ก่อนที่จะดีดตัวอีกครั้งในช่วงฤดูหนาวปลายไตรมาส 4 ภายใต้ภาวะปกติ แต่ทั้งนี้ช่วงสั้นยังสามารถ trading ได้เป็นระลอกๆตามแนวโน้มค่าการกลั่นรายวัน 

คาดกำไร 1H67 มีสัดส่วนราว 50% ของคาดการณ์ทั้งปี เราจึงยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2567 (+31% YoY) ไว้ตามเดิม และคงราคาเป้าหมายที่ 88 บาท (อิง PER 33.3 เท่า) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) มีปัจจัยบวกจากกำไร 2Q67 และภาพรวมกำไรปี 2567 ที่จะออกมาเด่นสุดในกลุ่ม และ 2) ราคาหุ้นยัง laggard กลุ่ม โดยปรับขึ้นเพียง 1% YTD ขณะที่หุ้นกลุ่มพาณิชย์ปรับขึ้นแล้วเฉลี่ย 8% YTD

คงแนะนำ Outperform FV ที่ 2.20 บาท จากแนวโน้มกำไรปกติ 2Q67 คาดกรอบ 1.1-1.2 พันล้านบาท ดีขึ้น QoQ และมีโอกาสใกล้เคียงงวดปีก่อน ขณะที่ 2H67 จะดีกว่า 1H67 จากแผนเปิดโครงการใหม่มากขึ้น และส่งมอบคอนโดฯ ใหม่ ทำให้ประมาณการกำไรปกติปี้มี Downside จำกัด ด้าน Valuation มี PER ซื้อขาย 6 เท่า พร้อมคาดปันผล 1H67 หุ้นละ 0.07 บาท หรือ 4.1%  

เส้นทางแห่งการเติบโตชัดเจน คาดหวังผลบวกจากการเข้าระดมทุนใน SET ทั้งด้านการรุกตลาดต่างประเทศ และการลงทุนโครงการลดต้นทุนต่างๆ ผลักดันกำไร 5 ปีข้างหน้าเติบโตเฉลี่ย 17%CAGR ให้น้ำหนัก Outperform ประเมินราคาเหมาะสมวิธี PEG ได้ที่ 11.00 บาท มี Upside 41.03% 

ภาพรวมธุรกิจไม่มีอะไรน่ากังวล การขยายธุรกิจยังคงเดินหน้าตามแผน แม้ดีลการซื้อหุ้น Fajar เพิ่มขึ้นจะกดดันผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง แต่จะส่งผลบวกในระยะยาว ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral ประเมินราคาเหมาะสมที่ 45.00 บาท เทียบเท่า Implied PER 30 เท่า

เรายังคงประมาณการกำไรปี  2567 ไว้ที่ 1.06 หมื่นล้านบาท (+23% YoY) และราคาเป้าหมายที่ 37.00 บาท (อิง PER 36.9 เท่า) แม้กำไร 1H67 ที่ออกมาจะมีสัดส่วนราว 44% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี 2567 รวมทั้งคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 2Q67 ที่ยังโตแรง YoY, และ 2) คาดหวังกำไรใน 2H67 ดีกว่า 1H67 จากแรงหนุนของกำไรใน 4Q67 ที่เป็นช่วง High season ของธุรกิจ 

ภาพรวม 2Q67 ที่มียอดขายโดดเด่น และแนวโน้มกำไรเป็นขาขึ้น QoQ หนุนจากส่งมอบ 2 คอนโดฯ ใหม่ และอีก 1 โครงการคอนโดฯ ขนาดใหญ่มีกำหนดสร้างเสร็จพร้อมโอนฯ เดือน ก.ค. คาดผลักดันต่อกำไร 3Q67 สูงขึ้น ขณะที่ Valuation หุ้นยังดึงดูดด้วย PER ซื้อขายเพียง 4 เท่า และผลตอบแทนเงินปันผลต่อปีมากกว่า 8% จึงคงแนะนำ Outperform 

การฟื้นตัวของกำไรที่เร็วกว่าคาดตั้งแต่ 1Q67 ต่อเนื่องจากมีนัยฯ ใน 2Q67 และคาดสูงขึ้น 2H67 ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มกำไรปกติปี 2567 เป็น 1.3 หมื่นล้านบาท (พลิกจากขาดทุนปกติ 1.77 หมื่นล้านบาท) และปรับเพิ่ม PBV เป็น 0.9 เท่า (เดิม 0.8 เท่า) มูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2567 อยู่ที่ 27.50 บาท ราคาหุ้นมี upside 16.5% พร้อมคาดเงินปันผลเฉลี่ย 2.3% ต่อปี คงแนะนำ Outperform

เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีก “มากกว่าตลาด” จากภาพรวมกำไรของปี 2567 ที่คาดจะโตได้ราว 15% YoY ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาด แม้ระยะสั้นกำไรโดยรวมใน 2Q67 น่าจะชะลอลง QoQ แต่ยังโตได้ดี YoY โดยกำไรกลุ่มจะกลับมาโตดีอีกครั้งใน 4Q67 จากผลของฤดูกาล โดยเลือก CPALL เป็นหุ้น Top picks เพราะคาดว่าในระยะสั้นหุ้นดังกล่าวจะ Outperform ตลาดได้ จากกำไรใน 2Q67 ที่น่าจะโดดเด่นสุด 

ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 67 ที่ 180 บาทต่อหุ้น ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบตั้งแต่ปี 67 ที่ 80 เหรียญฯ ถือเป็นหุ้นที่มีความแข็งแรงของกำไรในรายไตรมาส และรายปี โดยมีปริมาณขายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ขณะที่สมมติฐานทั้งราคาและปริมาณขายอยู่ภายใต้หลักความระมัดระวัง ดังนั้นมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการได้ โดยยังคงแนะนำในลักษณะ trading ตามราคาน้ำมัน พร้อมรับปันผลสูง

แม้ยอดขาย 2Q67 ที่ไม่ได้ดีนัก อาจส่งผลเชิงลบต่อภาพรวมการลงทุนระยะสั้น แต่คาดถูกชดเชยด้วยผลประกอบการ 2Q67 ที่มีกำไรฟื้นตัวสูง QoQ หนุนจากส่งมอบ 3 คอนโดฯ ใหม่ และกำไรจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3Q67 (คาดเติบโตทั้ง YoY และ QoQ) เพราะจะมีอีก 1 คอนโดฯ ใหม่สร้างเสร็จ จึงคงแนะนำ Outperform ที่ FV 25.40 บาท ราคาหุ้นมี PER ซื้อขาย 5.7 เท่า และคาด Div Yield สูง 8% ต่อปี

แนะนำ Outperform FV 19.00 บาท จากทิศทางกำไรที่ยังเป็นขาขึ้นในช่วง 3Q67 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาล ขณะที่ผลประกอบการ 2H67 จะดีกว่า 1H67 ด้านราคาหุ้นมี  PER ซื้อขาย 12 เท่า และคาด Div Yield เฉลี่ย 4.7% ต่อปี (จ่ายปีละ 2 ครั้ง)

ปรับเพิ่มกำไรปกติปีนี้ขึ้นจากเดิม 11% เป็น 3.59 พันล้านบาท (+55% yoy) หลังแนวโน้ม 1H67 ดีกว่าคาด (คิดเป็น 54% ของเป้ากำไรเดิม) และ 2H67 ยังมีโมเมนตัมต่อเนื่อง จากปริมาณคำสั่งซื้อมากขึ้น ล่าสุด Secured Order ราว 55% ของเป้ายอดขาย 3Q67 คงแนะนำ Outperform ด้วย FV ใหม่ที่ 29 บาท (เดิม 26 บาท) ราคามี upside 23% บวกกับคาดหมายเงินปันผลระดับ 3% ต่อปี 

สถานการณ์การขาย 2Q67 ที่ยังไม่ดี และแนวโน้มผลประกอบการไม่น่าตื่นเต้น กล่าวคือ คาดกำไรฟื้นตัว QoQ จากฐานต่ำ แต่คงลดลง YoY  ทำให้การลงทุนระยะสั้นยังไม่น่าสนใจ แม้มีการจ่ายปันผลระหว่างกาล 1H67 แต่ด้วยกำไรที่ไม่สูงนัก ทำให้คาดอัตราปันผลเฉลี่ย (+/-) 2% จึงคงแนะนำ Neutral โดยมองน้ำหนักของกำไรปีนี้อยู่ที่ 4Q67 ขับเคลื่อนจากส่งมอบ 2 คอนโดฯ ใหม่ 

กลุ่มฯ น่าสนใจจาก Div yield สูงเกิน 5% เลือก KBANK (Outperform) จากการเร่งบริหารจัดการ NPL เร็วกว่ากลุ่มฯ ประเมินมีช่องวางในการลด credit cost เมื่อเทียบกับกลุ่มฯ ตามด้วย BBL (Outperform) หลัง PBV ซื้อขายที่ 0.45 เท่า ต่ำกว่าช่วง COVID-19 ที่ซื้อขายเฉลี่ย 0.5 เท่า ทั้งที่ ROE สูงกว่า ส่วน TTB (Outperform) การมี Tax shield คาดหนุนการเติบโตของกำไร สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ สำหรับ ธ.พ. ที่เหลือเรียงตามความชอบดังนี้ KTB (Neutral) > TISCO (Neutral) > SCB (Neutral) > KKP (Underperform)                       

พื้นฐานแข็งแกร่งและมีทิศทางธุรกิจที่สดใส โดยเฉพาะธุรกิจซีเมนต์ในประเทศที่น่าจะได้รับปัจจัยบวกจากการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ เช่นเดียวกับธุรกิจซีเมนต์ในเวียดนามที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว คาดการณ์กำไรปี 2567 เติบโต 28%YoY ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสม 196 บาท 

หากกำไร 2Q67 เป็นไปดังคาด จะทำให้กำไร 1H67 มีสัดส่วน 56% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี 2567 ของเราที่ 1.2 หมื่นล้านบาท โดยเรามีแนวโน้มจะปรับประมาณการกำไรภายหลังจากการประกาศงบ 2Q67 โดยปัจจุบันเรายังคงราคาเป้าหมายที่ 86.50 บาท (NAV, อิง TP ADVANC 252 บาท) และคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ1) ราคาหุ้นยังมี upside ราว 20%, 2) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 2Q67 ที่คาดจะออกมาดี และ 3) คาดหวังผลตอบแทนจากปันผล 1H67 ที่จูงใจราว 2.3%

หากกำไรสุทธิงวด 2Q67 เป็นดังคาด จะทำให้คาดการณ์กำไรปกติทั้งปี 2567 ของเราที่ 3.0 หมื่นล้านบาท (+7% YoY) มี upside ราว 6% - 7% อย่างไรก็ตามเรายังคงราคาเป้าหมายปี 2567 ไว้ที่ 252 บาท และคงคำแนะนำ“Outperform”  เนื่องจาก 1) ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside ถึง 22%, 2) ระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากกำไร 2Q67 ที่คาดจะออกมาดี โตได้ทั้ง QoQ และ YoY โดยเรามีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการ ภายหลังบริษัทประกาศงบ 2Q67 ช่วงต้น ส.ค. 67

ภายใต้ประมาณการใหม่ ให้ FV ปี 2567 ใหม่ที่ 68 บาท (เดิม 74 บาท) ราคาหุ้นวานนี้ปรับฐานใกล้เคียงกับ Downside ต่อประมาณการ แต่ยังอาจเห็นความผันผวนของราคาหุ้นได้ช่วงสั้น จากโอกาสในการถูกปรับลดประมาณการจากตลาด อย่างไรก็ตามคาดหวังการฟื้นตัวของราคาหุ้นได้ในอีก 6 เดือนข้างหน้าจากการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว คงคำแนะนำ Outperform      

กลุ่มฯ มี PBV ไม่แพง และ Div yield ระดับ 5% - 9% ถือว่าน่าสนใจในเชิง Valuation เลือก KBANK (Outperform) ตามด้วย BBL (Outperform) และ TTB (Outperform) เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มฯ สำหรับ ธ.พ. ที่เหลือเรียงตามความชอบดังนี้ KTB (Neutral) > TISCO (Neutral) > SCB (Neutral) > KKP (Underperform)                                                        

มุมมองต่อธุรกิจเป็นบวก เชื่อกำไรจะขยับขึ้นเป็นขั้นบันไดทุกไตรมาส และจะทำกำไรทะลุหลักพันล้านบาทได้เป็นครั้งแรกในปีนี้ หนุนจากอัตราการใช้สื่อที่สูงขึ้น การปรับขึ้นค่าโฆษณาและการรุกธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วม ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF ที่ 10.60 บาท   

การดำเนินกลยุทธ์ข้างต้น ทำให้ภาพธุรกิจยังดูราบรื่น และ มีโอกาสบรรลุสู่เป้าหมายบริษัท ขณะที่ประมาณการกำไรปกติปีนี้มี Downside จำกัด และเปิด upside ในเชิงกำไรสุทธิ หากมีการพัฒนาโครงการ JV เพิ่มในอนาคต ด้านราคาหุ้นมี PER ซื้อขายเพียง 5.8 เท่า และคาด Div Yield  9.4% ต่อปี โดยคาด 1H67 หุ้นละ 0.07 บาท หรือ 4.4% เป็นระดับที่น่าจูงใจ จึงปรับเพิ่มเป็น Outperform  

แม้กำไรปกติ 2Q67 จะดีขึ้น แต่กำไร 3Q67 น่าจะชะลอลง QoQ จากผลของฤดูกาลที่จะกดดันรายได้ ทำให้เชื่อว่าประมาณการกำไรปกติของเราที่ 2.6 พันล้านบาท น่าจะมี upside ไม่มากนัก จึงคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 9.60 บาท และคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวก จากกำไรปกติ 2Q67 ที่คาดจะออกมาดี และ 2) ภาพรวมทั้งปี พลิกมีกำไรปกติได้จากที่เคยขาดทุนปกติปีก่อน

เรามีมุมมองเป็นกลางต่อข้อมูลที่ได้รับ แม้ระยะสั้นแนวโน้มธุรกิจจำหน่ายมือถือ (ธุรกิจหลัก) และธุรกิจจัดเก็บหนี้ (ธุรกิจรอง) ใน 2Q67 ยังดูไม่สดใส จากกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ และเป็นช่วง low season ของธุรกิจ แต่คาดหวังภาพกำไรทั้งปี 2567 นี้ฟื้นจากปีก่อน โดยเฉพาะกลุ่ม SINGER ที่จะค่อยๆดีขึ้นจากธุรกิจใหม่ (SG Finance+) จึงคงคำแนะนำ Neutral และคงราคาเป้าหมาย ที่ 14.20 บาท (SOTP) 

ปรับลดสมมติฐาน terminal growth ของธุรกิจ EV และปรับเพิ่มสมมติฐาน WACC ใหม่ ให้สอดคล้องกับภาพรวมธุรกิจและสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน และสะท้อนปัจจัยเสี่ยงที่มีความผันผวนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ FV ใหม่ปี 67 อยู่ที่ 33 บาท/หุ้น (เดิม 40 บาท) คงแนะนำ underperform เช่นเดิม แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลง สะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆไปแล้วระดับหนึ่ง แต่คาดช่วงสั้นยังขาดปัจจัยขับเคลื่อน 

แม้บริษัทฯ ให้ Div yield สูงเป็นอันดับ 2 ของกลุ่มฯ ราว 8% และใกล้เข้าสู่รอบปันผลระหว่างกาล แต่คุณภาพสินทรัพย์พอร์ตรายย่อยและ Floorplan ยังมีความเสี่ยง อีกทั้งประมาณการดูมี Downside คาดเป็นเหตุให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวทางบวกจำกัด จึงคงแนะนำ Neutral  

เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีก “มากกว่าตลาด” แม้แนวโน้มกำไรใน 2Q67 จะชะลอลง QoQ แต่คาดกำไรกลุ่มจะกลับมาโตดีอีกครั้งใน 4Q67 จากผลของฤดูกาล และเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น จึงคาดกำไรโดยรวมของกลุ่มในปี 2567 จะโตยังได้ราว 15% YoY ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาด โดยเลือก CPALL เป็นหุ้น Top picks เพราะคาดว่าในระยะสั้นหุ้นดังกล่าวจะ Outperform ตลาดได้ จากกำไรใน 2Q67 ที่น่าจะโดดเด่นสุด ขณะที่ราคาหุ้นในช่วง 2 เดือนนี้ปรับลดลงมา 0.43%

Backlog สิ้น พ.ค. จะเพิ่มเป็น 4.4 หมื่นล้านบาท (ยังไม่หักรับรู้รายได้ 2Q67) ซึ่งเป็นแนวราบ 1.8 หมื่นล้านบาท ที่จะรับรู้รายได้ 2Q-4Q67 เมื่อบวกกับแผนเปิดโครงการใหม่มากขึ้น 2H67 และส่งมอบ 3 คอนโดฯ ใหม่ใน 2Q-3Q67 คาดผลักดันกำไร 2Q67 ฟื้นตัวสูง QoQ และเป็นขาขึ้น 2H67 แนะนำ Outperform สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว ด้วยพื้นฐานธุรกิจและการเงินแข็งแรง, มี Backlog สูง, PER ซื้อขาย 4.5 เท่า และ Div yield สูงเกือบ 8% ต่อปี 

เนื่องจากเราได้ปรับคาดการณ์กำไรของหุ้น TRUE และ JMART ไปแล้วก่อนหน้านี้ เพื่อสะท้อนกำไรงวด 1Q67 ซึ่งทำให้ประมาณการกำไรของกลุ่มสำหรับปี 2567 - 2568 ปรับขึ้นเป็น 5.2 หมื่นล้านบาท (+30% YoY) และ 6.0 หมื่นล้านบาท (+18% YoY) ตามลำดับ เราปรับน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ICT จากเดิม “เท่ากับตลาด” เป็น “มากกว่าตลาด” โดยเราเลือก ADVANC เป็นหุ้น Top picks เนื่องจากปัจจัย 3 ประการ คือ 1) มีกำไรปี 2567 ที่เติบโต, 2) ราคาหุ้นมี upside และ 3) มีปันผลในอัตราที่จูงใจราว 4.4% - 4.9% สำหรับปี 2567 - 2568

แม้ราคาหุ้นเปิด upside กว้างจาก FV 4.00 บาท และแนวโน้มกำไรปกติ 2Q67 ที่จะฟื้นตัวขึ้นจาก 1Q67 แต่ในเชิง YOY ยังต้องติดตาม เนื่องจากขึ้นอยู่กับความสามารถในการโอนฯ และการจัดการ Bank Rejection แนวราบที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จึงคงแนะนำ Neutral และรอดูสถานการณ์ยอดขายและโอนฯ 2Q67 หากเห็นสัญญาณดีขึ้นมากตามที่บริษัทคาด ค่อยเข้าลงทุนใหม่อีกครั้ง เพื่อรับการฟื้นตัวมากขึ้นใน 2H67 ที่จะดีกว่า 1H67 หนุนจากส่งมอบ 2 คอนโดฯ ใหม่ 

เรายังคงประมาณการกำไรปี 67 ที่ 2,446 ล้านบาท(+27% YoY) และคงราคาเป้าหมายที่ 83.00 บาท(อิง PER 34.0 เท่า) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1)คาดกำไรกลับมาเติบโตใน 2Q67 จากยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังที่กลับมาเติบโตจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสต็อกของตัวแทน และเติบโตอีกครั้งใน4Q67 จากเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวดีขึ้น และ2) ราคาหุ้นลดลง 17%YTD ขณะที่ OSp มีคาดการณ์กำไรปี 67เติบโตน้อยกว่า แต่ราคาลดลงเพียง 2%YTD 

ลงทุนเท่าตลาดสำหรับกลุ่ม เลือกหุ้นเด่น คือ AP (FV@16.00) และ SPALI (FV@25.40) จากการฟื้นตัวเด่นของผลประกอบการตั้งแต่ 2Q67 หนุนจากเปิดโครงการแนวราบใหม่จำนวนมาก และส่งมอบคอนโดฯ ใหม่, การมีพอร์ตสินค้าหลากหลาย และส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มราคาต่ำกว่า 7 ล้านบาท ทำให้ได้รับประโยชน์พอสมควรจากมาตรการอสังหาฯ ขณะที่โครงสร้างการเงินแข็งแกรง ด้วย Net Gearing ต่ำกว่า 1 เท่า, PER ซื้อขายเพียง 4-6 เท่า และปันผลสูงเกิน 7% ต่อปี 

การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจช่วง 2H67 และการจ่ายปันผลระหว่างกาล (ส่วนใหญ่ XD ก.ย.) ประเมินเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในกลุ่มฯ ช่วง           3 เดือนข้างหน้า เลือก TTB ที่มี Div yield ราว 6% ต่อปี และทิศทางกำไรปี 2567 ขยายตัวเด่นสุดในกลุ่มฯ ตามด้วย ธ.พ. ที่มีสัดส่วนสินเชื่อธุรกิจสูง รับประโยชน์จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐมากกว่าสินเชื่อรายย่อยที่มีแรงหน่วงจากหนี้ครัวเรือน รวมทั้งมีจ่ายปันผลระหว่างกาล อย่าง KBANK และ BBL                              

พร้อมเดินหน้าต่อรับกระแสบวกจากการเปิดประมูลโครงการภาครัฐ เห็นภาพการเติบโตที่ชัดเจนจาก Backlog ที่จะทำระดับ New High ขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงส่วนแบ่งกำไรที่เติบโตขึ้นตามผลประกอบการของ BEM และ CKP เพิ่มน้ำหนักลงทุนเป็น Outperform ประเมินราคาเหมาะสมที่ 27.00 บาท 

ผลประกอบการปี 2567 น่าจะเป็นจุดต่ำสุด ก่อนที่จะฟื้นตัวดีขึ้นในปี 2568 จากรายได้ธุรกิจใหม่ที่เริ่มมีเข้ามา บวกกับจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูที่เพิ่มขึ้น และมี Upside เพิ่มเติมหากได้รับเงินประกันโครงการอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอนเข้ามา ให้คำแนะนำ Neutral ประเมินมูลค่าเหมาะสม 10.30 บาท 

เบื้องต้นคงมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 เท่ากับ 4.5 บาทต่อหุ้น แต่พร้อมทบทวนประมาณการรอดูปริมาณฝนที่เกิดขึ้นในปีนี้ก่อน อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับฐานลงมาแล้วในระดับหนึ่งสะท้อนงบ 1Q67 ที่ย่ำแย่ จึงมองเป็นโอกาสที่จะเข้า trading ลุ้นเข้าสู่ช่วงฤดูฝนตามช่วงฤดูกาลได้ แต่ในภาพระยะยาวยังต้องรอโครงการใหม่เข้ามาต่อยอดกำไร

เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มพาณิชย์ “มากกว่าตลาด” เนื่องจากคาดกำไรสุทธิของกลุ่มสำหรับปี 2567 ที่ 5.7 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตราว 15% YoY ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดที่คาดจะโต 12% เราเลือก CPALL เป็นหุ้น Top picks เพราะมองว่าจะ Outperform ได้ โดยระยะสั้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวที่จะหนุนให้กำไร 2Q67 โตโดดเด่นสุด และแนะนำ “Trading”  BJC จากประเด็นลุ้นเข้าดัชนี SET50 และ SET100 ที่จะมีการประกาศในช่วงเดือนหน้า

ระยะสั้นด้วยผลประกอบการ 2Q67 ที่ยังไม่น่าตื่นเต้น โดยในเชิงกำไรปกติแม้คาดดีขึ้น QoQ แต่ใกล้เคียง YoY (แต่กำไรสุทธิคาดลดลงทั้ง YOY และ QoQ) โดยให้น้ำหนักผลประกอบการใน 2H67 เฉพาะอย่างยิ่ง 4Q67  จึงคงแนะนำ NEUTRAL เพื่อรอดูสถานการณ์อีกครั้งหลังผ่านพ้น 2Q67 ค่อยหาจังหวะเข้าลงทุนรอบใหม่ 

ปรับเพิ่มประมาณการกำไร เนื่องจากการปรับราคาขายที่ดิน ส่งผลให้รายได้และ gross margin สูงขึ้น ได้มูลค่าเหมาะสมใหม่ที่ 6.30 บาท มี upside 15.63% ให้คำแนะนำการลงทุน outperform

กำไรสุทธิ 1Q67 มีสัดส่วนเพียง 18% ของคาดการณ์กำไรทั้งปีของเรา เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ลงจากเดิมเฉลี่ย 13% ส่งผลให้ราคาเป้าหมายลดจาก 20.90 บาท เหลือ 14.20 บาท (SOTP) และปรับคำแนะนำจากOutperform เป็น Neutral เพราะแนวโน้มธุรกิจจำหน่ายมือถือ (ธุรกิจหลัก) และธุรกิจจัดเก็บหนี้ (ธุรกิจรอง) ใน 2Q67 ยังดูไม่สดใส จากกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ และเป็นช่วง low season ของธุรกิจ แต่คาดหวังกำไรจากบ.ร่วม (กลุ่ม SINGER) ที่จะค่อยๆดีขึ้น

ขยายศักยภาพการให้บริการในศูนย์เฉพาะทางที่สำคัญ มุ่งเน้นเวชศาสตร์ฟื้นฟูในกลุ่มผู้ป่วยที่ใส่ใจดูแลสุขภาพและป้องกันก่อนการเกิดโรค พร้อมขยายฐานลูกค้าซาอุดิอาระเบีย และลูกค้ากลุ่มคนไข้ประกัน ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 33 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน outperfrom

การปรับลงของราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าสะท้อนปัจจัยลบเรื่องผลประกอบการอ่อนแอไปพอสมควรแล้ว ขณะที่การดำเนินงานจากนี้คาดฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ 2Q67-4Q67 เป็นขั้นบันไดรายไตรมาส หนุนจากทยอยส่งมอบ 8 คอนโดฯ ใหม่ จึงปรับเพิ่มเป็น Neutral ภายใต้ FV ใหม่ปี 2567 ที่ 7.30 บาท 

กำไรงวด 1Q67 มีสัดส่วนเพียง 18% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี และยังมีปัจจัยลบรออยู่อีกใน 2Q67 ทำให้เราต้องปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ลงจากเดิมเฉลี่ย 13% ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ลดจาก 36.50 บาท เหลือ 17.20 บาท (อิง PBV  0.9 เท่า) ปรับลดคำแนะนำจาก “Outperform” เป็น “Underperform” เพราะ ระยะสั้นมีปัจจัยกดดันราคาหุ้นจากกำไร 1q67 ที่ตกต่ำ และแนวโน้มใน 2Q67 ยังไม่สดใส จากค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นทั้ง ECL และค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย 

แม้ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีมาก แต่ภาพรวมธุรกิจยังที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินเป็นไตรมาสที่สอง โดยการบริหารสภาพคล่องถือเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุดท่ามกลางภาระหนี้สินที่อยู่ในระดับสูง ให้น้ำหนักลงทุน Underperform 

ด้วยกำไรสุทธิ 1Q67 คิดเป็นสัดส่วน 23% ของประมาณการทั้งปี จึงยังคงประมาณการ และคำแนะนำ Neutral คุณภาพสินทรัพย์ยังดูท้าทาย แต่ราคาหุ้นปรับฐานตามมาด้วยเช่นกัน จึงประเมินการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นต่อจากนี้ไม่แตกต่างกับ SET โดยในกลุ่มจำนำทะเบียนมีหุ้นที่ให้คำแนะนำ Outperform คือ MTC และ TIDLOR   

ช่วงครึ่งหลังของปีมีปัจจัยหนุนที่โดดเด่น โดยการเปิดให้บริการคลินิคมะเร็งรังสีรักษา และให้บริการทันตกรรมเคลื่อนที่ ช่วยดันยอดคนไข้ทุกประเภท อีกทั้งผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลใหม่ทั้ง 3 แห่งดีขึ้นต่อเนื่อง ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 23.20 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 8.2 บาท/หุ้น แม้ช่วงสั้นแนวโน้มกำไร 2Q67 ยังไม่โดดเด่น แต่อย่างไรก็ตามภาพระยะยาวยังแข็งแกร่ง และเริ่มเห็นฐานกำไรเติบโตได้อีกครั้ง จากโครงการใหม่ๆที่เตรียมทยอย COD ภายในปี 2569 คงคำแนะนำ Neutral โดยเน้นหาจังหวะทยอยสะสมลงทุนเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว 

ปรับประมาณการปี 67-68 ลง 46% และ 33% ตามลำดับ จากส่วนแบ่งขาดทุนรถไฟฟ้าสีเหลืองและชมพูที่มากกว่าที่เคยประเมิน แต่จุดต่ำสุดของผลประกอบการน่าจะผ่านไปแล้ว ราคาหุ้นลดลง 13% ในช่วง 2 สัปดาห์ ตอบรับผลประกอบการ 1Q67  เพิ่มคำแนะนำเป็น Neutral ประเมินมูลค่าเหมาะสม 10.30 บาท 

มองปัจจัยพื้นฐานระยะยาวยังแข็งแกร่ง รองรับจาก Backlog  1.2 แสนล้านบาท และมีโอกาสรับงานเพิ่มจากโครงการลงทุนของ BEM บวกกับงานประมูลภาครัฐอื่นๆที่ทยอยเกิดขึ้น โดยมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทลูกช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับภาพรวมผลประกอบการ ให้น้ำหนักลงทุน Neutral ประเมินราคาเหมาะสม 28.00 บาท  

ทิศทางธุรกิจสดใส รองรับจาก Backlog ที่มีกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท และโอกาสคว้างานก่อสร้างโรงไฟฟ้า 2 โครงการ มูลค่ารวม 1.1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมีความน่าสนใจมาก เพราะมี PER ต่ำเพียง 5.58 เท่า และซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform ประเมินราคาที่ 6.50 บาท 

เบื้องต้นยังคงประมาณการ แต่หากมีผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าใดที่ไม่เป็นไปตามคาด ฝ่ายวิจัยก็พร้อมที่จะทบทวนประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานใหม่ โดยมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ปัจจุบันอยู่ที่ 150 บาทต่อหุ้น โดยให้น้ำหนักการลงทุนอยู่ที่การจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ปีละ 2 ครั้ง เพราะทิศทางกำไรในระยะ 1-3 ปี ข้างหน้า เป็นการแสวงหาโครงการลงทุนใหม่เพื่อชดเชยโครงการลงทุนเก่าที่อยู่ช่วงท้ายของสัญญา หรือจะทยอยหมดอายุลง จึงยังไม่เห็นปัจจัยขับเคลื่อนที่โดดเด่นยามนี้ 

เบื้องต้นฝ่ายวิจัยคงประมาณการ 2567-68 ภายใต้สมมติฐานยังรับรู้โรงไฟฟ้า Paiton ตั้งแต่ 2H67 มูลค่าพื้นฐานปี 2567 อยู่ที่ 36 บาท/หุ้น โดยความเสี่ยงช่วงสั้นของ RATCH จะอยู่ที่ดีลการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าถ่านหิน Paiton ที่ยังไม่เสร็จ ทำให้ไม่สามารถรับรู้กำไรมาได้ ขณะที่ต้นทุนการกู้ยืม และ dilution จากการเพิ่มทุนเกิดขึ้นก่อนหน้าไปแล้ว จึงถือเป็นความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม 

มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 เท่ากับ 36 บาทต่อหุ้น ทางด้านพื้นฐานเชื่อว่าราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆจนมี downside ที่จำกัดมากขึ้นแล้ว ประกอบกับทิศทางกำไรยังคงมีความแข็งแกร่งจากการเป็น holding companY แต่เนื่องจากมีประเด็นการแทรกแซงของภาครัฐทำให้ในช่วงสั้นอาจจะเป็นปัจจัยหลักที่กดดันราคาหุ้นไม่ให้ปรับตัวขึ้นได้ไกลมากนัก

เนื่องจากผลประกอบการ 1Q67 เป็นไปตามฝ่ายวิจัยและตลาด ขณะที่กำไร 2Q67 คาดไม่โดดเด่น (ประเมินฟื้นตัว QoQ แต่ทรงตัว YoY) และแนวโน้มกำไรปีนี้ที่ชะลอตัวลงจากฐานสูงปีก่อน จึงไม่เห็นปัจจัยบวกขับเคลื่อนราคาหุ้นในระยะสั้น ฝ่ายวิจัยจึงคงแนะนำ Neutral มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 2.20 บาท (อิง PER 8 เท่า)

เพื่อสะท้อนกำไร 1Q67 ที่มีสัดส่วน 29% ของคาดการณ์กำไรปี 67 เดิม และแนวโน้มที่ยังดูสดใสต่อเนื่องใน 2Q67 เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 67-68 เพิ่มขึ้นราว 13% ทำให้ราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นจาก 20.1 บาท เป็น 22.6 บาท (อิงPER 20.84 เท่า) โดยคงคำแนะนำ “Outperform” เนื่องจาก 1)คาดกำไรเดินหน้าสู่จุดสูงสุดในช่วง 2Q67 จากฤดูร้อนที่ช่วยผลักดันยอดขายเครื่องดื่ม และ2)อัตราเงินปันผลที่ 6% ซึ่งสูงกว่าหุ้นอื่นในกลุ่มเครื่องดื่มที่ราว 3%

ฝ่ายวิจัยมีมุมมอง outlook กลุ่มนิคมฯ สดใส สะท้อนจากการย้ายฐานการผลิตบริษัทข้ามชาติ, ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่เติบโตทั้งจำนวนและมูลค่าโครงการ อีกทั้ง AMATA ปรับราคาขายเฉลี่ยเพิ่ม 10% เมื่อ ก.พ. ที่ผ่านมา ประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2567 อิง PER 14.8 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 27.30 บาท มี upside 17.7% และมี dividend yield 3.2% ให้คำแนะนำที่ outperform

กำไรปกติ 1Q67 มีสัดส่วนเพียง 18% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี ทำให้เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 – 68 ลงจากเดิมเฉลี่ย 25% ราคาเป้าหมายปรับลงจาก 35.00 บาท เหลือ 26.30 บาท คงคำแนะนำ “Neutral” แม้กำไร 1Q67 อ่อนแอทแต่คาดหวังการเติบโตของกำไรได้อีกครั้งใน 4Q67 และระยะสั้นคาดมีปัจจัยหนุนราคาหุ้นจากการลุ้นเข้าดัชนี SET50 และ SET100 ที่จะมีการประกาศในเดือนหน้า

ทิศทางผลการดำเนินงานปีนี้ขยายตัวได้ต่อเนื่อง คาดหวังการฟื้นตัวของกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติหนุนรายได้จากการรักษาโรคซับซ้อน อีกทั้งยังเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้ป่วยจากการเปิดโรงพยาบาลใหม่ ประเมินราคาเหมาะสมที่ 33.00 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน OUTPERFORM

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 3.6 บาท/หุ้น ช่วงสั้นคาดราคาหุ้นยังมีแรงหนุนจากผลประกอบการ 1Q67 ที่ฟื้นตัว และแนวโน้มกำไรปกติ 2Q67 ที่เติบโต QoQ ขณะที่ภาพใหญ่รายปีแม้ยังอ่อนยังตัวจากฐานสูงในปีก่อน แต่จะยกฐานกำไรขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง จากโครงการที่เตรียมทยอย COD ปี 2569 เป็นต้นไป 

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐาน ปี 2567 ที่ 9.8 บาท/หุ้น แม้แนวโน้มผลประกอบการจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวในช่วง 2Q67-3Q67 แต่เป็นไปตามปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ภาพใหญ่รายปี 2567 ยังเห็นฐานกำไรลดลง ภายใต้สัญญา PTW ฉบับใหม่ที่คาดจะมีอัตรากำไรลดลงจากเดิม จึงคาดหวังปันผลเหลือเพียง 4-5%/ปี 

แม้เข้า Low season ของท่องเที่ยวไทย แต่ยังมอง AOT เป็นตัวเลือกที่ดีในกลุ่มท่องเที่ยวไทย เนื่องจากค่าบริการที่เกี่ยวกับการบินคงที่ แตกต่างจากโรงแรมที่ค่าห้องพักปรับลงตามฤดูกาล ทำให้ผลกระทบเชิง QoQ อยู่ในอัตราต่ำกว่ากลุ่มโรงแรมไทย ประกอบกับหากมีการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐดีต่อ  AOT มากสุดในกลุ่มฯ ในฐานะแกนหลักของท่องเที่ยวไทย จึงคงคำแนะนำ Ouperform

ราคาหุ้นมีโอกาสตอบสนองเชิงบวกจากกำไร 1Q67 ที่ดีกว่าตลาดคาด คงแนะนำ Neutral จากความไม่แน่นอนของโอกาสในการปิดปรับปรุง Grand Hyatt (สัดส่วนราว 20% ของรายได้) หลังปิดปรับปรุงใหญ่ครั้งล่าสุดได้ 10 ปีแล้ว โดยมองว่าตัวเลือกในกลุ่มฯ อย่าง AOT ตามด้วย CENTEL ที่กำไรดีกว่าคาด และราคาลงมาจากจุดสูงสุดเมื่อช่วงต้นปี 2566 ราว 20% น่าสนใจกว่า   

แม้ประเมินกำไรผ่านจุดต่ำสุด 1Q67 ก่อนทยอยฟื้นตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปี แต่ด้วยแนวโน้ม 2Q67 ที่ยังไม่น่าตื่นเต้น กอปรกับ LH ไม่ได้ประโยชน์มากนัก จากมาตรการอสังหาฯ เนื่องจากพอร์ตสินค้าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มบ้านระดับบน ทำให้ราคาหุ้นขาดปัจจัยขับเคลื่อนช่วงสั้น จึงคงแนะนำ Neutral โดยมองจังหวะที่ดีเข้าสะสมหุ้น เมื่อเห็นสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้นของยอดขายและโอนฯ 

แม้ FV ใหม่ 4.00 บาท มี upside 16% แต่ด้วยกำไร 2Q67 ยังไม่เด่น ขณะที่พอร์ตสินค้าของ SC ส่วนใหญ่อยู่ในบ้านระดับบน จึงไม่ได้ประโยชน์มากนักต่อมาตรการอสังหาฯ ของภาครัฐ ฝ่ายวิจัยคงแนะนำ NEUTRAL และรอดูสถานการณ์ Bank rejection และยอดโอนฯ 2Q67 หากเห็นสัญญาณดีขึ้น ค่อยหาจังหวะเข้าลงทุน

ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นปรับลงไปราว 8% เชื่อว่าสะท้อนงบ 1Q67 ที่ต่ำผิดปกติ จนราคาหุ้นมี PER ซื้อขาย 6 เท่า และ Div Yield กว่า 7% ต่อปี ทำให้ความน่าสนใจลงทุนเริ่มกลับมาสำหรับลงทุนระยะกลาง-ยาว คงประมาณการ และ แนะนำ  Outperform ที่ FV 25.40 บาท (อิง PER 8 เท่า) หลังผ่านพ้นจุดต่ำสุดของกำไรใน 1Q67 และทิศทางกำไรตั้งแต่ 2Q67-4Q67 คาดเป็นขาขึ้นรายไตรมาส

ธุรกิจมีความมั่นคงสูง ภายใต้สัญญาสัมปทานระยะยาวที่ยังเห็นการเติบโตตามจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้น พร้อมโอกาสที่มากขึ้นจากโครงการใหม่ทั้งสัญญาเดินรถไฟฟ้าสายสีส้มและสายสีม่วงใต้ รวมถึงโครงการทางด่วนชั้นที่ 2 ที่จะมีความชัดเจนในปีนี้ ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 11.00 บาท  

ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าฐานกำไรของ PLANB จะขยับขึ้นทุกไตรมาสในช่วงที่เหลือของปีตามอัตราการใช้สื่อที่เพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นค่าโฆษณา โดยกำไรจะทำจุดสูงสุดใน 4Q67 และมีโอกาสที่จะเห็นกำไรขยับขึ้นสู่หลักพันล้านบาทได้เป็นครั้งแรกในปีนี้ ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF ที่ 10.60 บาท   

คงคำแนะนำ Neutral มองราคาหุ้น YTD ที่เพิ่ม 12.7% ดีกว่าหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว และ SET  Index ลบ 3.1% YTD ตอบรับแนวโน้มกำไรปกติ 2Q67 ที่มีโอกาสทำจุดสูงสุดของปี รวมทั้งมหกรรมกีฬาอย่างฟุตบอลยูโรและโอลิมปิกที่ปารีสแล้ว ทำให้ประเมินที่ราคานี้ความน่าสนใจเริ่มลดลง 

มุมมองธุรกิจเป็นบวกทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2567-68 ขึ้น 14% และ 7% เพื่อสะท้อนความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมอิง PER 17 เท่า ได้ที่ 196 บาท Upside เปิดกว้าง พร้อมคาดหวัง  Dividend Yield ปีนี้อีก 5.76%

จากกำไร 1Q67มีสัดส่วน 29%ของคาดกำไรทั้งปี67 และคาดกำไรเติบโตต่อเนื่องในช่วง 2Q67ทำให้เราเตรียมปรับประมาณการกำไร และราคาเป้าหมายปี 67 ขึ้นจากปัจจุบัน ซึ่งจากเดิมอยู่ที่ 20.10 บาท(อิง PER 20.8 เท่า)และคงคำแนะนำ“Outperform” เพราะ 1)ระยะสั้ยมีปัจจัยบวกจากกำไรที่โตกว่าตลาดคาดราว 11% และ2)คาดกำไรเติบโตต่อใน 2Q67 จากฤดูร้อนดันยอดขายเครื่องดื่มและใน4Q67 จากการเพิ่มกำลังการผลิตคาดหนุนมาร์จิ้นดีขึ้น 

ผลประกอบการมีแนวโน้มทำจุดต่ำสุดในงวด 2Q67 หลังจากนั้นจะเข้าสู่ช่วง High season ในงวด 3Q67 เพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้ป่วยตะวันออกกลาง และขยายเครือข่ายพันธมิตรในการรับส่งต่อผู้ป่วยปลูกถ่ายไต ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 22.30 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform

กำไร 1Q67 ที่ออกมา โตได้จากฐานต่ำในไตรมาสก่อน และยังตกต่ำ YoY อีกทั้งแนวโน้ม 2Q67 – 3Q67 กำไรเป็นขาลง เพราะคาดลูกค้าเป้าหมายจะรอดูการเปิดตัวของไอโฟนรุ่นใหม่ ที่คาดจะวางจำหน่ายช่วงปลาย 3Q67 หรือต้น 4Q67 ทำให้เราต้องปรับประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ลงจากเดิม 6% และ 3% ทำให้ราคาเป้าหมายปรับลดจาก 28.75 บาท เหลือ 22.70 บาท (อิง PER 19.1 เท่า, -1.5 SD) คงคำแนะนำ “Neutral” เพราะกำไรระยะถัดไปใน 2Q67 ยังดูไม่สดใสนัก

แม้กำไร 1Q67 มีสัดส่วน 26% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี แต่คาดกำไรจะทยอยลดลงตั้งแต่ใน 2Q67 – 3Q67 จากกำลังซื้อที่ฟื้นช้า และ low season เราจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 – 2568 ลงจากเดิมเฉลี่ย 12% เหลือ 8.6 พันล้านบาท (+8% YoY) และ 1.03 หมื่นล้านบาท (+20% YoY) ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ปรับลดจาก 48.0 บาท เหลือ 39.0 บาท (อิง PER 27.2เท่า) คงคำแนะนำ “Neutral” 

คงแนะนำ Outperform ด้วย FV สิ้นปี 2567 ที่ 23.00 บาท จากการฟื้นตัวของกำไรปกติเร็วกว่าคาดตั้งแต่ 1Q67 และทิศทางกำไรมีโอกาสฟื้นต่อเนื่อง 2Q67 และเร่งตัวมากขึ้น 2H67 ภายใต้คาดหวังธุรกิจสุกรไทยดีขึ้น แต่อย่างไรก็ดีการปรับขึ้นของราคาหุ้นตลอดช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาราว 17% ทำให้ราคาหุ้นมี upside เหลือ 12% จึงแนะนำเข้าลงทุนเมื่อราคาย่อตัว น่าจะเป็นจังหวะที่เหมาะสมมากกว่า

ปรับประมาณการกำไรลง 40% สะท้อนกำไร 1Q67 ที่ตกต่ำ แต่โอกาสทางธุรกิจเปิดกว้างหลังการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ จะส่งผลบวกต่อตลาดยางมะตอยในประเทศ โดยมีความเสี่ยงสำคัญเรื่องการจัดหา Feedstock ให้น้ำหนัก Neutral ประเมิน Fair Value อิงค่าเฉลี่ย PBV 8 ปี ย้อนหลัง – 0.5 SD ได้ที่ 20.00 บาท 

มองข้าม 1Q67 ที่ผิดหวัง ประเมินในช่วงที่เหลือของปียังมีปัจจัยบวกรออยู่มากมาย ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ SJWD โดยใช้วิธี DCF (กำหนดสมมติฐาน WACC ที่ 6.6% และ TERMINAL GROWTH RATE ที่ 3%) ได้ ราคาเหมาะสมที่ 18.70 บาท มี UPSIDE 31.7% ปรับคำแนะนำการลงทุนขึ้นเป็น OUTPERFORM

มูลค่าพื้นฐานปี 2567 อยู่ที่ 36 บาทต่อหุ้น ภายใต้การรวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯใหม่ของไทยกรณี worst case แล้ว ดังนั้นหากมีแนวทางแก้ไขที่เป็นบวก จะถือเป็น upside จากมูลค่าพื้นฐานปัจจุบัน ซึ่งราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมามีการขยับตัวขึ้นบ้างรอรับการฟื้นตัวของธุรกิจ ซึ่งหากเศรษฐกิจมีการขยับตัวได้ดี เชื่อจะเป็นบวกต่อราคาหุ้นจากนี้ได้  

คงประมาณการ และ มูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 34 บาท/หุ้น ช่วงสั้นคาดมีแรงหนุนจากกำไรปกติที่ยังเห็นการเติบโตต่อเนื่อง QoQ ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานระยะยาวเริ่มเห็นฐานกำไรทยอยฟื้นตัวได้ตามลำดับ  ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside สูง แนะนำหาจังหวะทยอยเข้าสะสมลงทุนระยะยาว 

มูลค่าพื้นฐานปี 2567 เท่ากับ 7.0 บาทต่อหุ้น ถึงแม้ราคาหุ้นจะปรับฐานลงสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆจนมี downside ที่จำกัดแล้วระดับหนึ่ง แต่ในช่วงสั้นยังไม่มีปัจจัยบวกที่จะเข้ามาขับเคลื่อนราคาหุ้นได้ จึงเน้นเพียง trading ช่วงสั้นๆตามทิศทางราคาถ่านหินและก๊าซฯที่เปลี่ยนแปลงไป แต่หากนักลงทุนมีหุ้นอยู่จะถือรับปันผลได้ หากอิงข้อมูลในอดีตพบว่ามีการประกาศจ่ายในระดับที่ดี 

ทิศทาง 2Q-4Q67 ยังถูกขับเคลื่อนจากศูนย์การค้าที่มีการสร้างรายได้ต่อเนื่องของโครงการเดิม และโครงการใหม่ โดยเฉพาะนครสวรรค์และนครปฐม, ผลกระทบที่ลดลงจากการต่อสัญญาปิ่นเกล้า หลังได้รับรายได้ค่าเช่าจาก CPNREIT ขณะที่ 2H67 เตรียมเปิด 1 โรงแรมใหม่ และโอนฯ 4 คอนโดฯ ใหม่ คงคาดกำไรปีนี้ทำ NEW  HIGH ที่ 1.56 หมื่นล้านบาท และ Outperform ที่ FV 83.00 บาท

แม้กำไร 1Q67 ออกมามีสัดส่วน 26% ของคาดกำไรทั้งปี 67 แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 67 ที่ 2,446 ล้านบาท และคงราคาเป้าหมายที่ 83.00 บาท(อิง PER 34.0 เท่า) และคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1)ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไรที่โตแรงYoY 2)คาดกำไรโตต่อใน2Q67จากฤดูร้อนดันยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังและเติบโตอีกครั้งใน4Q67จากเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวดีขึ้น และ3)ราคาหุ้นลดลง19%YTD ขณะที่OSpมีคาดกำไรปี 67เติบโตน้อยกว่าแต่ราคาลดลงเพียง5%YTD 

ธุรกิจนิคมฯ ยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนจากยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่ปรับเพิ่มทั้งมูลค่าและจำนวนโครงการ ประกอบกับทาง WHA ที่มีแผนที่จะสร้างนิคมฯ ในไทยและเวียดนามเพิ่มอีกจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ประเมิน FV โดยอิง Historical PER 10 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 20 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 5.95 บาท มี upside 18% ให้คำแนะนำเป็น Outperform 

คงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 18 บาท/หุ้น อาจเพียงหาจังหวะ Trading ช่วงสั้น จากกำไร 1H67 ที่ฟื้นตัวตามช่วงฤดูกาล ขณะที่ระยะยาวยังขาดความน่าสนใจ ยังต้องรอปัจจัยหนุนจากโครงการใหม่ๆเข้าช่วยต่อยอดฐานกำไรขึ้นอีกครั้ง โดย BGRIM GULF GPSC อาจเป็นตัวเลือกของกลุ่มฯที่ยังน่าสนใจกว่าในภาพยาว

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 เป็นต้นไป สะท้อนสมมติฐานราคาขาย EV และค่าใช้จ่าย SG&A ใหม่ ให้สอดคล้องภาพรวมธุรกิจมากขึ้น ส่งผลให้ FV ใหม่อยู่ที่ 40 บาท (เดิม 50) ช่วงสั้นราคาหุ้นอาจถูกกดดันจากผลของ Adder ที่เริ่มหมด แม้ยอดขาย EV จะเพิ่มขึ้น แต่ยังชดเชยได้ไม่หมด สะท้อนได้จากกำไร 1Q67 ที่ลดลง และภาพกำไรระยะยาวที่อ่อนตัว เน้นเพียงหาจังหวะ Trading ช่วงสั้นตามรอบกระแส EV ที่เกิดขึ้นเป็นระลอกๆ

กำไร 1Q67 มีสัดส่วน 23% ของคาดการณ์ปี 2567 ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 250 (+47% YoY) ไว้ตามเดิม และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 6.60 บาท (อิง PER ที่ 16.4 เท่า) รวมทั้งคงคำแนะนำ “Outperform” สำหรับหุ้น ADVICE เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 1Q67 ที่ออกมาดี ระยะถัดไปคาดหวังกำไรโตดีอีกครั้งใน 2H67 และ 2) ราคาหุ้นซื้อขายที่ PER ปี 2567 9.6 เท่า ยังถูกกว่า COM7 ซึ่งคาดกำไรปี 2567 โตเพียง 5.9% แต่ซื้อขายที่ PER 15.5 เท่า 

เพื่อสะท้อนกำไร 1Q67 มีสัดส่วนราว 28% ของคาดการณ์กำไรปกติทั้งปี 2567 เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2567-2568 ขึ้นจากเดิม 9%-10% ทำให้ราคาเป้าหมายขยับขึ้นจาก 81 บาท เป็น 88 บาท (อิง PER 33.3 เท่า) โดยคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 1Q67 ที่ออกมาโตดีกว่าทั้งที่เราและตลาดคาด โดยระยะถัดไปกำไรยังดูสดใสต่ออีกใน 2Q67และ 2) ราคาหุ้นปรับขึ้นเพียง 5% YTDในช่วงขณะที่หุ้นกลุ่มพาณิชย์ปรับขึ้นไปแล้ว 7% YTD

แม้ผลประกอบการผ่านจุดที่ดีที่สุดไปแล้วในปี 2565 แต่โครงการลงทุนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนช่วยให้ TPIPL ยังคงรักษาฐานกำไรระดับ 3 พันล้านบาทต่อปีไว้ได้ ความน่าสนใจอยู่ที่ราคาหุ้นมี Valuation ต่ำมาก วัดจากค่า PER และ PBV แนะนำ Neutral ประเมินราคาเหมาะสมที่ 1.90 บาท 

ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 30 บาทต่อหุ้น คาดราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาน่าจะสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆจนมี Downside จำกัดมาก อีกทั้งคาดทิศทางกำไรจากนี้น่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยให้น้ำหนักการฟื้นตัวของกำไรอยู่ใน 2H67 จึงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนทางด้านพื้นฐานปกติเป็น NeutraL แต่ยังให้พึงระวังการทบทวนการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้ยังมีปันผลจ่ายรายไตรมาสเป็นปัจจัยหนุนเล็กน้อยได้ Div Yield เฉลี่ยต่อปีราว 4%

ฝ่ายวิจัยประเมินว่า demand ที่ยังคงซบเซา ประกอบกับการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้า จะเป็นปัจจัยกดดันผลประกอบการต่อเนื่องไปถึงช่วง 2Q67 แต่ gross margin ที่มีแนวโน้มกลับมาอยู่ในระดับสูงกว่าปี 2566 และมีนโยบายรักษา dividend payout ratio ที่ระดับ 70% ประกอบกับจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอปีละ 2 ครั้ง ฝ่ายวิจัยจึงให้คำแนะนำการลงทุน neutral ประเมินมูลค่าเหมาะสม อิง PER เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 12 เท่า ได้ Fair Value 6.10 บาท มี upside 15% และมี Dividend Yield 5.66%

ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 46 บาทต่อหุ้น ยังให้น้ำหนักการลงทุนด้านพื้นฐานตามฤดูกาลของธุรกิจหลักโรงกลั่นที่ GRM แปรผันตามฤดูกาลภายใต้ภาวะปกติ แต่ทั้งนี้สามารถ trading สะสมขณะที่หุ้นย่อตัว เพราะเชื่อว่าน่าจะเห็นจังหวะการดีดตัวของราคาหุ้นได้เป็นระลอกๆตามทิศทางค่าการกลั่น 

เรายังคงประมาณการกำไรปี 67 ไว้ที่ 760 ล้านบาท(+20% YoY) และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 22.70 บาท (อิงPER ที่ 28.7เท่า) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) คาดกำไรที่กลับมาเติบโตได้ดีขึ้นตั้งแต่ 2Q67 จากผลของฤดูร้อนหนุนยอดขายสินค้าเครื่องดื่ม ส่วนช่วง3Q67-4Q67 คาดหวังการฟื้นตัวของสินค้าขนมขบเคี้ยว และ2) ราคาหุ้นปรับลดลงกว่า 5% YTD ขณะที่หุ้น ICHI ราคาปรับขึ้นมาแล้วกว่า 12% YTD แต่คาดมีกำไรเติบโตที่ 10% น้อยกว่า SNNP