สถานการณ์การขาย 2Q67 ที่ยังไม่ดี และแนวโน้มผลประกอบการไม่น่าตื่นเต้น กล่าวคือ คาดกำไรฟื้นตัว QoQ จากฐานต่ำ แต่คงลดลง YoY  ทำให้การลงทุนระยะสั้นยังไม่น่าสนใจ แม้มีการจ่ายปันผลระหว่างกาล 1H67 แต่ด้วยกำไรที่ไม่สูงนัก ทำให้คาดอัตราปันผลเฉลี่ย (+/-) 2% จึงคงแนะนำ Neutral โดยมองน้ำหนักของกำไรปีนี้อยู่ที่ 4Q67 ขับเคลื่อนจากส่งมอบ 2 คอนโดฯ ใหม่ 

กลุ่มฯ น่าสนใจจาก Div yield สูงเกิน 5% เลือก KBANK (Outperform) จากการเร่งบริหารจัดการ NPL เร็วกว่ากลุ่มฯ ประเมินมีช่องวางในการลด credit cost เมื่อเทียบกับกลุ่มฯ ตามด้วย BBL (Outperform) หลัง PBV ซื้อขายที่ 0.45 เท่า ต่ำกว่าช่วง COVID-19 ที่ซื้อขายเฉลี่ย 0.5 เท่า ทั้งที่ ROE สูงกว่า ส่วน TTB (Outperform) การมี Tax shield คาดหนุนการเติบโตของกำไร สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ สำหรับ ธ.พ. ที่เหลือเรียงตามความชอบดังนี้ KTB (Neutral) > TISCO (Neutral) > SCB (Neutral) > KKP (Underperform)                       

พื้นฐานแข็งแกร่งและมีทิศทางธุรกิจที่สดใส โดยเฉพาะธุรกิจซีเมนต์ในประเทศที่น่าจะได้รับปัจจัยบวกจากการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ เช่นเดียวกับธุรกิจซีเมนต์ในเวียดนามที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว คาดการณ์กำไรปี 2567 เติบโต 28%YoY ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสม 196 บาท 

หากกำไร 2Q67 เป็นไปดังคาด จะทำให้กำไร 1H67 มีสัดส่วน 56% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี 2567 ของเราที่ 1.2 หมื่นล้านบาท โดยเรามีแนวโน้มจะปรับประมาณการกำไรภายหลังจากการประกาศงบ 2Q67 โดยปัจจุบันเรายังคงราคาเป้าหมายที่ 86.50 บาท (NAV, อิง TP ADVANC 252 บาท) และคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ1) ราคาหุ้นยังมี upside ราว 20%, 2) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 2Q67 ที่คาดจะออกมาดี และ 3) คาดหวังผลตอบแทนจากปันผล 1H67 ที่จูงใจราว 2.3%

หากกำไรสุทธิงวด 2Q67 เป็นดังคาด จะทำให้คาดการณ์กำไรปกติทั้งปี 2567 ของเราที่ 3.0 หมื่นล้านบาท (+7% YoY) มี upside ราว 6% - 7% อย่างไรก็ตามเรายังคงราคาเป้าหมายปี 2567 ไว้ที่ 252 บาท และคงคำแนะนำ“Outperform”  เนื่องจาก 1) ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside ถึง 22%, 2) ระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากกำไร 2Q67 ที่คาดจะออกมาดี โตได้ทั้ง QoQ และ YoY โดยเรามีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการ ภายหลังบริษัทประกาศงบ 2Q67 ช่วงต้น ส.ค. 67

ภายใต้ประมาณการใหม่ ให้ FV ปี 2567 ใหม่ที่ 68 บาท (เดิม 74 บาท) ราคาหุ้นวานนี้ปรับฐานใกล้เคียงกับ Downside ต่อประมาณการ แต่ยังอาจเห็นความผันผวนของราคาหุ้นได้ช่วงสั้น จากโอกาสในการถูกปรับลดประมาณการจากตลาด อย่างไรก็ตามคาดหวังการฟื้นตัวของราคาหุ้นได้ในอีก 6 เดือนข้างหน้าจากการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว คงคำแนะนำ Outperform      

กลุ่มฯ มี PBV ไม่แพง และ Div yield ระดับ 5% - 9% ถือว่าน่าสนใจในเชิง Valuation เลือก KBANK (Outperform) ตามด้วย BBL (Outperform) และ TTB (Outperform) เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มฯ สำหรับ ธ.พ. ที่เหลือเรียงตามความชอบดังนี้ KTB (Neutral) > TISCO (Neutral) > SCB (Neutral) > KKP (Underperform)                                                        

มุมมองต่อธุรกิจเป็นบวก เชื่อกำไรจะขยับขึ้นเป็นขั้นบันไดทุกไตรมาส และจะทำกำไรทะลุหลักพันล้านบาทได้เป็นครั้งแรกในปีนี้ หนุนจากอัตราการใช้สื่อที่สูงขึ้น การปรับขึ้นค่าโฆษณาและการรุกธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วม ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF ที่ 10.60 บาท   

การดำเนินกลยุทธ์ข้างต้น ทำให้ภาพธุรกิจยังดูราบรื่น และ มีโอกาสบรรลุสู่เป้าหมายบริษัท ขณะที่ประมาณการกำไรปกติปีนี้มี Downside จำกัด และเปิด upside ในเชิงกำไรสุทธิ หากมีการพัฒนาโครงการ JV เพิ่มในอนาคต ด้านราคาหุ้นมี PER ซื้อขายเพียง 5.8 เท่า และคาด Div Yield  9.4% ต่อปี โดยคาด 1H67 หุ้นละ 0.07 บาท หรือ 4.4% เป็นระดับที่น่าจูงใจ จึงปรับเพิ่มเป็น Outperform  

แม้กำไรปกติ 2Q67 จะดีขึ้น แต่กำไร 3Q67 น่าจะชะลอลง QoQ จากผลของฤดูกาลที่จะกดดันรายได้ ทำให้เชื่อว่าประมาณการกำไรปกติของเราที่ 2.6 พันล้านบาท น่าจะมี upside ไม่มากนัก จึงคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 9.60 บาท และคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวก จากกำไรปกติ 2Q67 ที่คาดจะออกมาดี และ 2) ภาพรวมทั้งปี พลิกมีกำไรปกติได้จากที่เคยขาดทุนปกติปีก่อน

เรามีมุมมองเป็นกลางต่อข้อมูลที่ได้รับ แม้ระยะสั้นแนวโน้มธุรกิจจำหน่ายมือถือ (ธุรกิจหลัก) และธุรกิจจัดเก็บหนี้ (ธุรกิจรอง) ใน 2Q67 ยังดูไม่สดใส จากกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ และเป็นช่วง low season ของธุรกิจ แต่คาดหวังภาพกำไรทั้งปี 2567 นี้ฟื้นจากปีก่อน โดยเฉพาะกลุ่ม SINGER ที่จะค่อยๆดีขึ้นจากธุรกิจใหม่ (SG Finance+) จึงคงคำแนะนำ Neutral และคงราคาเป้าหมาย ที่ 14.20 บาท (SOTP) 

ปรับลดสมมติฐาน terminal growth ของธุรกิจ EV และปรับเพิ่มสมมติฐาน WACC ใหม่ ให้สอดคล้องกับภาพรวมธุรกิจและสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน และสะท้อนปัจจัยเสี่ยงที่มีความผันผวนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ FV ใหม่ปี 67 อยู่ที่ 33 บาท/หุ้น (เดิม 40 บาท) คงแนะนำ underperform เช่นเดิม แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลง สะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆไปแล้วระดับหนึ่ง แต่คาดช่วงสั้นยังขาดปัจจัยขับเคลื่อน 

แม้บริษัทฯ ให้ Div yield สูงเป็นอันดับ 2 ของกลุ่มฯ ราว 8% และใกล้เข้าสู่รอบปันผลระหว่างกาล แต่คุณภาพสินทรัพย์พอร์ตรายย่อยและ Floorplan ยังมีความเสี่ยง อีกทั้งประมาณการดูมี Downside คาดเป็นเหตุให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวทางบวกจำกัด จึงคงแนะนำ Neutral  

เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีก “มากกว่าตลาด” แม้แนวโน้มกำไรใน 2Q67 จะชะลอลง QoQ แต่คาดกำไรกลุ่มจะกลับมาโตดีอีกครั้งใน 4Q67 จากผลของฤดูกาล และเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น จึงคาดกำไรโดยรวมของกลุ่มในปี 2567 จะโตยังได้ราว 15% YoY ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาด โดยเลือก CPALL เป็นหุ้น Top picks เพราะคาดว่าในระยะสั้นหุ้นดังกล่าวจะ Outperform ตลาดได้ จากกำไรใน 2Q67 ที่น่าจะโดดเด่นสุด ขณะที่ราคาหุ้นในช่วง 2 เดือนนี้ปรับลดลงมา 0.43%

Backlog สิ้น พ.ค. จะเพิ่มเป็น 4.4 หมื่นล้านบาท (ยังไม่หักรับรู้รายได้ 2Q67) ซึ่งเป็นแนวราบ 1.8 หมื่นล้านบาท ที่จะรับรู้รายได้ 2Q-4Q67 เมื่อบวกกับแผนเปิดโครงการใหม่มากขึ้น 2H67 และส่งมอบ 3 คอนโดฯ ใหม่ใน 2Q-3Q67 คาดผลักดันกำไร 2Q67 ฟื้นตัวสูง QoQ และเป็นขาขึ้น 2H67 แนะนำ Outperform สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว ด้วยพื้นฐานธุรกิจและการเงินแข็งแรง, มี Backlog สูง, PER ซื้อขาย 4.5 เท่า และ Div yield สูงเกือบ 8% ต่อปี 

เนื่องจากเราได้ปรับคาดการณ์กำไรของหุ้น TRUE และ JMART ไปแล้วก่อนหน้านี้ เพื่อสะท้อนกำไรงวด 1Q67 ซึ่งทำให้ประมาณการกำไรของกลุ่มสำหรับปี 2567 - 2568 ปรับขึ้นเป็น 5.2 หมื่นล้านบาท (+30% YoY) และ 6.0 หมื่นล้านบาท (+18% YoY) ตามลำดับ เราปรับน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ICT จากเดิม “เท่ากับตลาด” เป็น “มากกว่าตลาด” โดยเราเลือก ADVANC เป็นหุ้น Top picks เนื่องจากปัจจัย 3 ประการ คือ 1) มีกำไรปี 2567 ที่เติบโต, 2) ราคาหุ้นมี upside และ 3) มีปันผลในอัตราที่จูงใจราว 4.4% - 4.9% สำหรับปี 2567 - 2568

แม้ราคาหุ้นเปิด upside กว้างจาก FV 4.00 บาท และแนวโน้มกำไรปกติ 2Q67 ที่จะฟื้นตัวขึ้นจาก 1Q67 แต่ในเชิง YOY ยังต้องติดตาม เนื่องจากขึ้นอยู่กับความสามารถในการโอนฯ และการจัดการ Bank Rejection แนวราบที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จึงคงแนะนำ Neutral และรอดูสถานการณ์ยอดขายและโอนฯ 2Q67 หากเห็นสัญญาณดีขึ้นมากตามที่บริษัทคาด ค่อยเข้าลงทุนใหม่อีกครั้ง เพื่อรับการฟื้นตัวมากขึ้นใน 2H67 ที่จะดีกว่า 1H67 หนุนจากส่งมอบ 2 คอนโดฯ ใหม่ 

เรายังคงประมาณการกำไรปี 67 ที่ 2,446 ล้านบาท(+27% YoY) และคงราคาเป้าหมายที่ 83.00 บาท(อิง PER 34.0 เท่า) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1)คาดกำไรกลับมาเติบโตใน 2Q67 จากยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังที่กลับมาเติบโตจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสต็อกของตัวแทน และเติบโตอีกครั้งใน4Q67 จากเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวดีขึ้น และ2) ราคาหุ้นลดลง 17%YTD ขณะที่ OSp มีคาดการณ์กำไรปี 67เติบโตน้อยกว่า แต่ราคาลดลงเพียง 2%YTD 

ลงทุนเท่าตลาดสำหรับกลุ่ม เลือกหุ้นเด่น คือ AP (FV@16.00) และ SPALI (FV@25.40) จากการฟื้นตัวเด่นของผลประกอบการตั้งแต่ 2Q67 หนุนจากเปิดโครงการแนวราบใหม่จำนวนมาก และส่งมอบคอนโดฯ ใหม่, การมีพอร์ตสินค้าหลากหลาย และส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มราคาต่ำกว่า 7 ล้านบาท ทำให้ได้รับประโยชน์พอสมควรจากมาตรการอสังหาฯ ขณะที่โครงสร้างการเงินแข็งแกรง ด้วย Net Gearing ต่ำกว่า 1 เท่า, PER ซื้อขายเพียง 4-6 เท่า และปันผลสูงเกิน 7% ต่อปี 

การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจช่วง 2H67 และการจ่ายปันผลระหว่างกาล (ส่วนใหญ่ XD ก.ย.) ประเมินเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในกลุ่มฯ ช่วง           3 เดือนข้างหน้า เลือก TTB ที่มี Div yield ราว 6% ต่อปี และทิศทางกำไรปี 2567 ขยายตัวเด่นสุดในกลุ่มฯ ตามด้วย ธ.พ. ที่มีสัดส่วนสินเชื่อธุรกิจสูง รับประโยชน์จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐมากกว่าสินเชื่อรายย่อยที่มีแรงหน่วงจากหนี้ครัวเรือน รวมทั้งมีจ่ายปันผลระหว่างกาล อย่าง KBANK และ BBL                              

พร้อมเดินหน้าต่อรับกระแสบวกจากการเปิดประมูลโครงการภาครัฐ เห็นภาพการเติบโตที่ชัดเจนจาก Backlog ที่จะทำระดับ New High ขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงส่วนแบ่งกำไรที่เติบโตขึ้นตามผลประกอบการของ BEM และ CKP เพิ่มน้ำหนักลงทุนเป็น Outperform ประเมินราคาเหมาะสมที่ 27.00 บาท 

ผลประกอบการปี 2567 น่าจะเป็นจุดต่ำสุด ก่อนที่จะฟื้นตัวดีขึ้นในปี 2568 จากรายได้ธุรกิจใหม่ที่เริ่มมีเข้ามา บวกกับจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูที่เพิ่มขึ้น และมี Upside เพิ่มเติมหากได้รับเงินประกันโครงการอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอนเข้ามา ให้คำแนะนำ Neutral ประเมินมูลค่าเหมาะสม 10.30 บาท 

เบื้องต้นคงมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 เท่ากับ 4.5 บาทต่อหุ้น แต่พร้อมทบทวนประมาณการรอดูปริมาณฝนที่เกิดขึ้นในปีนี้ก่อน อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับฐานลงมาแล้วในระดับหนึ่งสะท้อนงบ 1Q67 ที่ย่ำแย่ จึงมองเป็นโอกาสที่จะเข้า trading ลุ้นเข้าสู่ช่วงฤดูฝนตามช่วงฤดูกาลได้ แต่ในภาพระยะยาวยังต้องรอโครงการใหม่เข้ามาต่อยอดกำไร

เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มพาณิชย์ “มากกว่าตลาด” เนื่องจากคาดกำไรสุทธิของกลุ่มสำหรับปี 2567 ที่ 5.7 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตราว 15% YoY ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดที่คาดจะโต 12% เราเลือก CPALL เป็นหุ้น Top picks เพราะมองว่าจะ Outperform ได้ โดยระยะสั้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวที่จะหนุนให้กำไร 2Q67 โตโดดเด่นสุด และแนะนำ “Trading”  BJC จากประเด็นลุ้นเข้าดัชนี SET50 และ SET100 ที่จะมีการประกาศในช่วงเดือนหน้า

ระยะสั้นด้วยผลประกอบการ 2Q67 ที่ยังไม่น่าตื่นเต้น โดยในเชิงกำไรปกติแม้คาดดีขึ้น QoQ แต่ใกล้เคียง YoY (แต่กำไรสุทธิคาดลดลงทั้ง YOY และ QoQ) โดยให้น้ำหนักผลประกอบการใน 2H67 เฉพาะอย่างยิ่ง 4Q67  จึงคงแนะนำ NEUTRAL เพื่อรอดูสถานการณ์อีกครั้งหลังผ่านพ้น 2Q67 ค่อยหาจังหวะเข้าลงทุนรอบใหม่ 

ปรับเพิ่มประมาณการกำไร เนื่องจากการปรับราคาขายที่ดิน ส่งผลให้รายได้และ gross margin สูงขึ้น ได้มูลค่าเหมาะสมใหม่ที่ 6.30 บาท มี upside 15.63% ให้คำแนะนำการลงทุน outperform

กำไรสุทธิ 1Q67 มีสัดส่วนเพียง 18% ของคาดการณ์กำไรทั้งปีของเรา เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ลงจากเดิมเฉลี่ย 13% ส่งผลให้ราคาเป้าหมายลดจาก 20.90 บาท เหลือ 14.20 บาท (SOTP) และปรับคำแนะนำจากOutperform เป็น Neutral เพราะแนวโน้มธุรกิจจำหน่ายมือถือ (ธุรกิจหลัก) และธุรกิจจัดเก็บหนี้ (ธุรกิจรอง) ใน 2Q67 ยังดูไม่สดใส จากกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ และเป็นช่วง low season ของธุรกิจ แต่คาดหวังกำไรจากบ.ร่วม (กลุ่ม SINGER) ที่จะค่อยๆดีขึ้น

ขยายศักยภาพการให้บริการในศูนย์เฉพาะทางที่สำคัญ มุ่งเน้นเวชศาสตร์ฟื้นฟูในกลุ่มผู้ป่วยที่ใส่ใจดูแลสุขภาพและป้องกันก่อนการเกิดโรค พร้อมขยายฐานลูกค้าซาอุดิอาระเบีย และลูกค้ากลุ่มคนไข้ประกัน ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 33 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน outperfrom

การปรับลงของราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าสะท้อนปัจจัยลบเรื่องผลประกอบการอ่อนแอไปพอสมควรแล้ว ขณะที่การดำเนินงานจากนี้คาดฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ 2Q67-4Q67 เป็นขั้นบันไดรายไตรมาส หนุนจากทยอยส่งมอบ 8 คอนโดฯ ใหม่ จึงปรับเพิ่มเป็น Neutral ภายใต้ FV ใหม่ปี 2567 ที่ 7.30 บาท 

กำไรงวด 1Q67 มีสัดส่วนเพียง 18% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี และยังมีปัจจัยลบรออยู่อีกใน 2Q67 ทำให้เราต้องปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ลงจากเดิมเฉลี่ย 13% ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ลดจาก 36.50 บาท เหลือ 17.20 บาท (อิง PBV  0.9 เท่า) ปรับลดคำแนะนำจาก “Outperform” เป็น “Underperform” เพราะ ระยะสั้นมีปัจจัยกดดันราคาหุ้นจากกำไร 1q67 ที่ตกต่ำ และแนวโน้มใน 2Q67 ยังไม่สดใส จากค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นทั้ง ECL และค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย 

แม้ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีมาก แต่ภาพรวมธุรกิจยังที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินเป็นไตรมาสที่สอง โดยการบริหารสภาพคล่องถือเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุดท่ามกลางภาระหนี้สินที่อยู่ในระดับสูง ให้น้ำหนักลงทุน Underperform 

ด้วยกำไรสุทธิ 1Q67 คิดเป็นสัดส่วน 23% ของประมาณการทั้งปี จึงยังคงประมาณการ และคำแนะนำ Neutral คุณภาพสินทรัพย์ยังดูท้าทาย แต่ราคาหุ้นปรับฐานตามมาด้วยเช่นกัน จึงประเมินการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นต่อจากนี้ไม่แตกต่างกับ SET โดยในกลุ่มจำนำทะเบียนมีหุ้นที่ให้คำแนะนำ Outperform คือ MTC และ TIDLOR   

ช่วงครึ่งหลังของปีมีปัจจัยหนุนที่โดดเด่น โดยการเปิดให้บริการคลินิคมะเร็งรังสีรักษา และให้บริการทันตกรรมเคลื่อนที่ ช่วยดันยอดคนไข้ทุกประเภท อีกทั้งผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลใหม่ทั้ง 3 แห่งดีขึ้นต่อเนื่อง ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 23.20 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 8.2 บาท/หุ้น แม้ช่วงสั้นแนวโน้มกำไร 2Q67 ยังไม่โดดเด่น แต่อย่างไรก็ตามภาพระยะยาวยังแข็งแกร่ง และเริ่มเห็นฐานกำไรเติบโตได้อีกครั้ง จากโครงการใหม่ๆที่เตรียมทยอย COD ภายในปี 2569 คงคำแนะนำ Neutral โดยเน้นหาจังหวะทยอยสะสมลงทุนเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว 

ปรับประมาณการปี 67-68 ลง 46% และ 33% ตามลำดับ จากส่วนแบ่งขาดทุนรถไฟฟ้าสีเหลืองและชมพูที่มากกว่าที่เคยประเมิน แต่จุดต่ำสุดของผลประกอบการน่าจะผ่านไปแล้ว ราคาหุ้นลดลง 13% ในช่วง 2 สัปดาห์ ตอบรับผลประกอบการ 1Q67  เพิ่มคำแนะนำเป็น Neutral ประเมินมูลค่าเหมาะสม 10.30 บาท 

มองปัจจัยพื้นฐานระยะยาวยังแข็งแกร่ง รองรับจาก Backlog  1.2 แสนล้านบาท และมีโอกาสรับงานเพิ่มจากโครงการลงทุนของ BEM บวกกับงานประมูลภาครัฐอื่นๆที่ทยอยเกิดขึ้น โดยมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทลูกช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับภาพรวมผลประกอบการ ให้น้ำหนักลงทุน Neutral ประเมินราคาเหมาะสม 28.00 บาท  

ทิศทางธุรกิจสดใส รองรับจาก Backlog ที่มีกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท และโอกาสคว้างานก่อสร้างโรงไฟฟ้า 2 โครงการ มูลค่ารวม 1.1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมีความน่าสนใจมาก เพราะมี PER ต่ำเพียง 5.58 เท่า และซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform ประเมินราคาที่ 6.50 บาท 

เบื้องต้นยังคงประมาณการ แต่หากมีผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าใดที่ไม่เป็นไปตามคาด ฝ่ายวิจัยก็พร้อมที่จะทบทวนประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานใหม่ โดยมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ปัจจุบันอยู่ที่ 150 บาทต่อหุ้น โดยให้น้ำหนักการลงทุนอยู่ที่การจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ปีละ 2 ครั้ง เพราะทิศทางกำไรในระยะ 1-3 ปี ข้างหน้า เป็นการแสวงหาโครงการลงทุนใหม่เพื่อชดเชยโครงการลงทุนเก่าที่อยู่ช่วงท้ายของสัญญา หรือจะทยอยหมดอายุลง จึงยังไม่เห็นปัจจัยขับเคลื่อนที่โดดเด่นยามนี้ 

เบื้องต้นฝ่ายวิจัยคงประมาณการ 2567-68 ภายใต้สมมติฐานยังรับรู้โรงไฟฟ้า Paiton ตั้งแต่ 2H67 มูลค่าพื้นฐานปี 2567 อยู่ที่ 36 บาท/หุ้น โดยความเสี่ยงช่วงสั้นของ RATCH จะอยู่ที่ดีลการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าถ่านหิน Paiton ที่ยังไม่เสร็จ ทำให้ไม่สามารถรับรู้กำไรมาได้ ขณะที่ต้นทุนการกู้ยืม และ dilution จากการเพิ่มทุนเกิดขึ้นก่อนหน้าไปแล้ว จึงถือเป็นความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม 

มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 เท่ากับ 36 บาทต่อหุ้น ทางด้านพื้นฐานเชื่อว่าราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆจนมี downside ที่จำกัดมากขึ้นแล้ว ประกอบกับทิศทางกำไรยังคงมีความแข็งแกร่งจากการเป็น holding companY แต่เนื่องจากมีประเด็นการแทรกแซงของภาครัฐทำให้ในช่วงสั้นอาจจะเป็นปัจจัยหลักที่กดดันราคาหุ้นไม่ให้ปรับตัวขึ้นได้ไกลมากนัก

เนื่องจากผลประกอบการ 1Q67 เป็นไปตามฝ่ายวิจัยและตลาด ขณะที่กำไร 2Q67 คาดไม่โดดเด่น (ประเมินฟื้นตัว QoQ แต่ทรงตัว YoY) และแนวโน้มกำไรปีนี้ที่ชะลอตัวลงจากฐานสูงปีก่อน จึงไม่เห็นปัจจัยบวกขับเคลื่อนราคาหุ้นในระยะสั้น ฝ่ายวิจัยจึงคงแนะนำ Neutral มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 2.20 บาท (อิง PER 8 เท่า)

เพื่อสะท้อนกำไร 1Q67 ที่มีสัดส่วน 29% ของคาดการณ์กำไรปี 67 เดิม และแนวโน้มที่ยังดูสดใสต่อเนื่องใน 2Q67 เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 67-68 เพิ่มขึ้นราว 13% ทำให้ราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นจาก 20.1 บาท เป็น 22.6 บาท (อิงPER 20.84 เท่า) โดยคงคำแนะนำ “Outperform” เนื่องจาก 1)คาดกำไรเดินหน้าสู่จุดสูงสุดในช่วง 2Q67 จากฤดูร้อนที่ช่วยผลักดันยอดขายเครื่องดื่ม และ2)อัตราเงินปันผลที่ 6% ซึ่งสูงกว่าหุ้นอื่นในกลุ่มเครื่องดื่มที่ราว 3%

ฝ่ายวิจัยมีมุมมอง outlook กลุ่มนิคมฯ สดใส สะท้อนจากการย้ายฐานการผลิตบริษัทข้ามชาติ, ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่เติบโตทั้งจำนวนและมูลค่าโครงการ อีกทั้ง AMATA ปรับราคาขายเฉลี่ยเพิ่ม 10% เมื่อ ก.พ. ที่ผ่านมา ประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2567 อิง PER 14.8 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 27.30 บาท มี upside 17.7% และมี dividend yield 3.2% ให้คำแนะนำที่ outperform

กำไรปกติ 1Q67 มีสัดส่วนเพียง 18% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี ทำให้เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 – 68 ลงจากเดิมเฉลี่ย 25% ราคาเป้าหมายปรับลงจาก 35.00 บาท เหลือ 26.30 บาท คงคำแนะนำ “Neutral” แม้กำไร 1Q67 อ่อนแอทแต่คาดหวังการเติบโตของกำไรได้อีกครั้งใน 4Q67 และระยะสั้นคาดมีปัจจัยหนุนราคาหุ้นจากการลุ้นเข้าดัชนี SET50 และ SET100 ที่จะมีการประกาศในเดือนหน้า

ทิศทางผลการดำเนินงานปีนี้ขยายตัวได้ต่อเนื่อง คาดหวังการฟื้นตัวของกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติหนุนรายได้จากการรักษาโรคซับซ้อน อีกทั้งยังเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้ป่วยจากการเปิดโรงพยาบาลใหม่ ประเมินราคาเหมาะสมที่ 33.00 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน OUTPERFORM

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 3.6 บาท/หุ้น ช่วงสั้นคาดราคาหุ้นยังมีแรงหนุนจากผลประกอบการ 1Q67 ที่ฟื้นตัว และแนวโน้มกำไรปกติ 2Q67 ที่เติบโต QoQ ขณะที่ภาพใหญ่รายปีแม้ยังอ่อนยังตัวจากฐานสูงในปีก่อน แต่จะยกฐานกำไรขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง จากโครงการที่เตรียมทยอย COD ปี 2569 เป็นต้นไป 

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐาน ปี 2567 ที่ 9.8 บาท/หุ้น แม้แนวโน้มผลประกอบการจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวในช่วง 2Q67-3Q67 แต่เป็นไปตามปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ภาพใหญ่รายปี 2567 ยังเห็นฐานกำไรลดลง ภายใต้สัญญา PTW ฉบับใหม่ที่คาดจะมีอัตรากำไรลดลงจากเดิม จึงคาดหวังปันผลเหลือเพียง 4-5%/ปี 

แม้เข้า Low season ของท่องเที่ยวไทย แต่ยังมอง AOT เป็นตัวเลือกที่ดีในกลุ่มท่องเที่ยวไทย เนื่องจากค่าบริการที่เกี่ยวกับการบินคงที่ แตกต่างจากโรงแรมที่ค่าห้องพักปรับลงตามฤดูกาล ทำให้ผลกระทบเชิง QoQ อยู่ในอัตราต่ำกว่ากลุ่มโรงแรมไทย ประกอบกับหากมีการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐดีต่อ  AOT มากสุดในกลุ่มฯ ในฐานะแกนหลักของท่องเที่ยวไทย จึงคงคำแนะนำ Ouperform

ราคาหุ้นมีโอกาสตอบสนองเชิงบวกจากกำไร 1Q67 ที่ดีกว่าตลาดคาด คงแนะนำ Neutral จากความไม่แน่นอนของโอกาสในการปิดปรับปรุง Grand Hyatt (สัดส่วนราว 20% ของรายได้) หลังปิดปรับปรุงใหญ่ครั้งล่าสุดได้ 10 ปีแล้ว โดยมองว่าตัวเลือกในกลุ่มฯ อย่าง AOT ตามด้วย CENTEL ที่กำไรดีกว่าคาด และราคาลงมาจากจุดสูงสุดเมื่อช่วงต้นปี 2566 ราว 20% น่าสนใจกว่า   

แม้ประเมินกำไรผ่านจุดต่ำสุด 1Q67 ก่อนทยอยฟื้นตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปี แต่ด้วยแนวโน้ม 2Q67 ที่ยังไม่น่าตื่นเต้น กอปรกับ LH ไม่ได้ประโยชน์มากนัก จากมาตรการอสังหาฯ เนื่องจากพอร์ตสินค้าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มบ้านระดับบน ทำให้ราคาหุ้นขาดปัจจัยขับเคลื่อนช่วงสั้น จึงคงแนะนำ Neutral โดยมองจังหวะที่ดีเข้าสะสมหุ้น เมื่อเห็นสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้นของยอดขายและโอนฯ 

แม้ FV ใหม่ 4.00 บาท มี upside 16% แต่ด้วยกำไร 2Q67 ยังไม่เด่น ขณะที่พอร์ตสินค้าของ SC ส่วนใหญ่อยู่ในบ้านระดับบน จึงไม่ได้ประโยชน์มากนักต่อมาตรการอสังหาฯ ของภาครัฐ ฝ่ายวิจัยคงแนะนำ NEUTRAL และรอดูสถานการณ์ Bank rejection และยอดโอนฯ 2Q67 หากเห็นสัญญาณดีขึ้น ค่อยหาจังหวะเข้าลงทุน

ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นปรับลงไปราว 8% เชื่อว่าสะท้อนงบ 1Q67 ที่ต่ำผิดปกติ จนราคาหุ้นมี PER ซื้อขาย 6 เท่า และ Div Yield กว่า 7% ต่อปี ทำให้ความน่าสนใจลงทุนเริ่มกลับมาสำหรับลงทุนระยะกลาง-ยาว คงประมาณการ และ แนะนำ  Outperform ที่ FV 25.40 บาท (อิง PER 8 เท่า) หลังผ่านพ้นจุดต่ำสุดของกำไรใน 1Q67 และทิศทางกำไรตั้งแต่ 2Q67-4Q67 คาดเป็นขาขึ้นรายไตรมาส

ธุรกิจมีความมั่นคงสูง ภายใต้สัญญาสัมปทานระยะยาวที่ยังเห็นการเติบโตตามจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้น พร้อมโอกาสที่มากขึ้นจากโครงการใหม่ทั้งสัญญาเดินรถไฟฟ้าสายสีส้มและสายสีม่วงใต้ รวมถึงโครงการทางด่วนชั้นที่ 2 ที่จะมีความชัดเจนในปีนี้ ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 11.00 บาท  

ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าฐานกำไรของ PLANB จะขยับขึ้นทุกไตรมาสในช่วงที่เหลือของปีตามอัตราการใช้สื่อที่เพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นค่าโฆษณา โดยกำไรจะทำจุดสูงสุดใน 4Q67 และมีโอกาสที่จะเห็นกำไรขยับขึ้นสู่หลักพันล้านบาทได้เป็นครั้งแรกในปีนี้ ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF ที่ 10.60 บาท   

คงคำแนะนำ Neutral มองราคาหุ้น YTD ที่เพิ่ม 12.7% ดีกว่าหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว และ SET  Index ลบ 3.1% YTD ตอบรับแนวโน้มกำไรปกติ 2Q67 ที่มีโอกาสทำจุดสูงสุดของปี รวมทั้งมหกรรมกีฬาอย่างฟุตบอลยูโรและโอลิมปิกที่ปารีสแล้ว ทำให้ประเมินที่ราคานี้ความน่าสนใจเริ่มลดลง 

มุมมองธุรกิจเป็นบวกทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2567-68 ขึ้น 14% และ 7% เพื่อสะท้อนความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมอิง PER 17 เท่า ได้ที่ 196 บาท Upside เปิดกว้าง พร้อมคาดหวัง  Dividend Yield ปีนี้อีก 5.76%

จากกำไร 1Q67มีสัดส่วน 29%ของคาดกำไรทั้งปี67 และคาดกำไรเติบโตต่อเนื่องในช่วง 2Q67ทำให้เราเตรียมปรับประมาณการกำไร และราคาเป้าหมายปี 67 ขึ้นจากปัจจุบัน ซึ่งจากเดิมอยู่ที่ 20.10 บาท(อิง PER 20.8 เท่า)และคงคำแนะนำ“Outperform” เพราะ 1)ระยะสั้ยมีปัจจัยบวกจากกำไรที่โตกว่าตลาดคาดราว 11% และ2)คาดกำไรเติบโตต่อใน 2Q67 จากฤดูร้อนดันยอดขายเครื่องดื่มและใน4Q67 จากการเพิ่มกำลังการผลิตคาดหนุนมาร์จิ้นดีขึ้น 

ผลประกอบการมีแนวโน้มทำจุดต่ำสุดในงวด 2Q67 หลังจากนั้นจะเข้าสู่ช่วง High season ในงวด 3Q67 เพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้ป่วยตะวันออกกลาง และขยายเครือข่ายพันธมิตรในการรับส่งต่อผู้ป่วยปลูกถ่ายไต ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 22.30 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform

กำไร 1Q67 ที่ออกมา โตได้จากฐานต่ำในไตรมาสก่อน และยังตกต่ำ YoY อีกทั้งแนวโน้ม 2Q67 – 3Q67 กำไรเป็นขาลง เพราะคาดลูกค้าเป้าหมายจะรอดูการเปิดตัวของไอโฟนรุ่นใหม่ ที่คาดจะวางจำหน่ายช่วงปลาย 3Q67 หรือต้น 4Q67 ทำให้เราต้องปรับประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ลงจากเดิม 6% และ 3% ทำให้ราคาเป้าหมายปรับลดจาก 28.75 บาท เหลือ 22.70 บาท (อิง PER 19.1 เท่า, -1.5 SD) คงคำแนะนำ “Neutral” เพราะกำไรระยะถัดไปใน 2Q67 ยังดูไม่สดใสนัก

แม้กำไร 1Q67 มีสัดส่วน 26% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี แต่คาดกำไรจะทยอยลดลงตั้งแต่ใน 2Q67 – 3Q67 จากกำลังซื้อที่ฟื้นช้า และ low season เราจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 – 2568 ลงจากเดิมเฉลี่ย 12% เหลือ 8.6 พันล้านบาท (+8% YoY) และ 1.03 หมื่นล้านบาท (+20% YoY) ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ปรับลดจาก 48.0 บาท เหลือ 39.0 บาท (อิง PER 27.2เท่า) คงคำแนะนำ “Neutral” 

คงแนะนำ Outperform ด้วย FV สิ้นปี 2567 ที่ 23.00 บาท จากการฟื้นตัวของกำไรปกติเร็วกว่าคาดตั้งแต่ 1Q67 และทิศทางกำไรมีโอกาสฟื้นต่อเนื่อง 2Q67 และเร่งตัวมากขึ้น 2H67 ภายใต้คาดหวังธุรกิจสุกรไทยดีขึ้น แต่อย่างไรก็ดีการปรับขึ้นของราคาหุ้นตลอดช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาราว 17% ทำให้ราคาหุ้นมี upside เหลือ 12% จึงแนะนำเข้าลงทุนเมื่อราคาย่อตัว น่าจะเป็นจังหวะที่เหมาะสมมากกว่า

ปรับประมาณการกำไรลง 40% สะท้อนกำไร 1Q67 ที่ตกต่ำ แต่โอกาสทางธุรกิจเปิดกว้างหลังการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ จะส่งผลบวกต่อตลาดยางมะตอยในประเทศ โดยมีความเสี่ยงสำคัญเรื่องการจัดหา Feedstock ให้น้ำหนัก Neutral ประเมิน Fair Value อิงค่าเฉลี่ย PBV 8 ปี ย้อนหลัง – 0.5 SD ได้ที่ 20.00 บาท 

มองข้าม 1Q67 ที่ผิดหวัง ประเมินในช่วงที่เหลือของปียังมีปัจจัยบวกรออยู่มากมาย ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ SJWD โดยใช้วิธี DCF (กำหนดสมมติฐาน WACC ที่ 6.6% และ TERMINAL GROWTH RATE ที่ 3%) ได้ ราคาเหมาะสมที่ 18.70 บาท มี UPSIDE 31.7% ปรับคำแนะนำการลงทุนขึ้นเป็น OUTPERFORM

มูลค่าพื้นฐานปี 2567 อยู่ที่ 36 บาทต่อหุ้น ภายใต้การรวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯใหม่ของไทยกรณี worst case แล้ว ดังนั้นหากมีแนวทางแก้ไขที่เป็นบวก จะถือเป็น upside จากมูลค่าพื้นฐานปัจจุบัน ซึ่งราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมามีการขยับตัวขึ้นบ้างรอรับการฟื้นตัวของธุรกิจ ซึ่งหากเศรษฐกิจมีการขยับตัวได้ดี เชื่อจะเป็นบวกต่อราคาหุ้นจากนี้ได้  

คงประมาณการ และ มูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 34 บาท/หุ้น ช่วงสั้นคาดมีแรงหนุนจากกำไรปกติที่ยังเห็นการเติบโตต่อเนื่อง QoQ ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานระยะยาวเริ่มเห็นฐานกำไรทยอยฟื้นตัวได้ตามลำดับ  ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside สูง แนะนำหาจังหวะทยอยเข้าสะสมลงทุนระยะยาว 

มูลค่าพื้นฐานปี 2567 เท่ากับ 7.0 บาทต่อหุ้น ถึงแม้ราคาหุ้นจะปรับฐานลงสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆจนมี downside ที่จำกัดแล้วระดับหนึ่ง แต่ในช่วงสั้นยังไม่มีปัจจัยบวกที่จะเข้ามาขับเคลื่อนราคาหุ้นได้ จึงเน้นเพียง trading ช่วงสั้นๆตามทิศทางราคาถ่านหินและก๊าซฯที่เปลี่ยนแปลงไป แต่หากนักลงทุนมีหุ้นอยู่จะถือรับปันผลได้ หากอิงข้อมูลในอดีตพบว่ามีการประกาศจ่ายในระดับที่ดี 

ทิศทาง 2Q-4Q67 ยังถูกขับเคลื่อนจากศูนย์การค้าที่มีการสร้างรายได้ต่อเนื่องของโครงการเดิม และโครงการใหม่ โดยเฉพาะนครสวรรค์และนครปฐม, ผลกระทบที่ลดลงจากการต่อสัญญาปิ่นเกล้า หลังได้รับรายได้ค่าเช่าจาก CPNREIT ขณะที่ 2H67 เตรียมเปิด 1 โรงแรมใหม่ และโอนฯ 4 คอนโดฯ ใหม่ คงคาดกำไรปีนี้ทำ NEW  HIGH ที่ 1.56 หมื่นล้านบาท และ Outperform ที่ FV 83.00 บาท

แม้กำไร 1Q67 ออกมามีสัดส่วน 26% ของคาดกำไรทั้งปี 67 แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 67 ที่ 2,446 ล้านบาท และคงราคาเป้าหมายที่ 83.00 บาท(อิง PER 34.0 เท่า) และคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1)ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไรที่โตแรงYoY 2)คาดกำไรโตต่อใน2Q67จากฤดูร้อนดันยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังและเติบโตอีกครั้งใน4Q67จากเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวดีขึ้น และ3)ราคาหุ้นลดลง19%YTD ขณะที่OSpมีคาดกำไรปี 67เติบโตน้อยกว่าแต่ราคาลดลงเพียง5%YTD 

ธุรกิจนิคมฯ ยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนจากยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่ปรับเพิ่มทั้งมูลค่าและจำนวนโครงการ ประกอบกับทาง WHA ที่มีแผนที่จะสร้างนิคมฯ ในไทยและเวียดนามเพิ่มอีกจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ประเมิน FV โดยอิง Historical PER 10 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 20 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 5.95 บาท มี upside 18% ให้คำแนะนำเป็น Outperform 

คงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 18 บาท/หุ้น อาจเพียงหาจังหวะ Trading ช่วงสั้น จากกำไร 1H67 ที่ฟื้นตัวตามช่วงฤดูกาล ขณะที่ระยะยาวยังขาดความน่าสนใจ ยังต้องรอปัจจัยหนุนจากโครงการใหม่ๆเข้าช่วยต่อยอดฐานกำไรขึ้นอีกครั้ง โดย BGRIM GULF GPSC อาจเป็นตัวเลือกของกลุ่มฯที่ยังน่าสนใจกว่าในภาพยาว

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 เป็นต้นไป สะท้อนสมมติฐานราคาขาย EV และค่าใช้จ่าย SG&A ใหม่ ให้สอดคล้องภาพรวมธุรกิจมากขึ้น ส่งผลให้ FV ใหม่อยู่ที่ 40 บาท (เดิม 50) ช่วงสั้นราคาหุ้นอาจถูกกดดันจากผลของ Adder ที่เริ่มหมด แม้ยอดขาย EV จะเพิ่มขึ้น แต่ยังชดเชยได้ไม่หมด สะท้อนได้จากกำไร 1Q67 ที่ลดลง และภาพกำไรระยะยาวที่อ่อนตัว เน้นเพียงหาจังหวะ Trading ช่วงสั้นตามรอบกระแส EV ที่เกิดขึ้นเป็นระลอกๆ

กำไร 1Q67 มีสัดส่วน 23% ของคาดการณ์ปี 2567 ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 250 (+47% YoY) ไว้ตามเดิม และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 6.60 บาท (อิง PER ที่ 16.4 เท่า) รวมทั้งคงคำแนะนำ “Outperform” สำหรับหุ้น ADVICE เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 1Q67 ที่ออกมาดี ระยะถัดไปคาดหวังกำไรโตดีอีกครั้งใน 2H67 และ 2) ราคาหุ้นซื้อขายที่ PER ปี 2567 9.6 เท่า ยังถูกกว่า COM7 ซึ่งคาดกำไรปี 2567 โตเพียง 5.9% แต่ซื้อขายที่ PER 15.5 เท่า 

เพื่อสะท้อนกำไร 1Q67 มีสัดส่วนราว 28% ของคาดการณ์กำไรปกติทั้งปี 2567 เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2567-2568 ขึ้นจากเดิม 9%-10% ทำให้ราคาเป้าหมายขยับขึ้นจาก 81 บาท เป็น 88 บาท (อิง PER 33.3 เท่า) โดยคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 1Q67 ที่ออกมาโตดีกว่าทั้งที่เราและตลาดคาด โดยระยะถัดไปกำไรยังดูสดใสต่ออีกใน 2Q67และ 2) ราคาหุ้นปรับขึ้นเพียง 5% YTDในช่วงขณะที่หุ้นกลุ่มพาณิชย์ปรับขึ้นไปแล้ว 7% YTD

แม้ผลประกอบการผ่านจุดที่ดีที่สุดไปแล้วในปี 2565 แต่โครงการลงทุนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนช่วยให้ TPIPL ยังคงรักษาฐานกำไรระดับ 3 พันล้านบาทต่อปีไว้ได้ ความน่าสนใจอยู่ที่ราคาหุ้นมี Valuation ต่ำมาก วัดจากค่า PER และ PBV แนะนำ Neutral ประเมินราคาเหมาะสมที่ 1.90 บาท 

ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 30 บาทต่อหุ้น คาดราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาน่าจะสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆจนมี Downside จำกัดมาก อีกทั้งคาดทิศทางกำไรจากนี้น่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยให้น้ำหนักการฟื้นตัวของกำไรอยู่ใน 2H67 จึงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนทางด้านพื้นฐานปกติเป็น NeutraL แต่ยังให้พึงระวังการทบทวนการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้ยังมีปันผลจ่ายรายไตรมาสเป็นปัจจัยหนุนเล็กน้อยได้ Div Yield เฉลี่ยต่อปีราว 4%

ฝ่ายวิจัยประเมินว่า demand ที่ยังคงซบเซา ประกอบกับการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้า จะเป็นปัจจัยกดดันผลประกอบการต่อเนื่องไปถึงช่วง 2Q67 แต่ gross margin ที่มีแนวโน้มกลับมาอยู่ในระดับสูงกว่าปี 2566 และมีนโยบายรักษา dividend payout ratio ที่ระดับ 70% ประกอบกับจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอปีละ 2 ครั้ง ฝ่ายวิจัยจึงให้คำแนะนำการลงทุน neutral ประเมินมูลค่าเหมาะสม อิง PER เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 12 เท่า ได้ Fair Value 6.10 บาท มี upside 15% และมี Dividend Yield 5.66%

ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 46 บาทต่อหุ้น ยังให้น้ำหนักการลงทุนด้านพื้นฐานตามฤดูกาลของธุรกิจหลักโรงกลั่นที่ GRM แปรผันตามฤดูกาลภายใต้ภาวะปกติ แต่ทั้งนี้สามารถ trading สะสมขณะที่หุ้นย่อตัว เพราะเชื่อว่าน่าจะเห็นจังหวะการดีดตัวของราคาหุ้นได้เป็นระลอกๆตามทิศทางค่าการกลั่น 

เรายังคงประมาณการกำไรปี 67 ไว้ที่ 760 ล้านบาท(+20% YoY) และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 22.70 บาท (อิงPER ที่ 28.7เท่า) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) คาดกำไรที่กลับมาเติบโตได้ดีขึ้นตั้งแต่ 2Q67 จากผลของฤดูร้อนหนุนยอดขายสินค้าเครื่องดื่ม ส่วนช่วง3Q67-4Q67 คาดหวังการฟื้นตัวของสินค้าขนมขบเคี้ยว และ2) ราคาหุ้นปรับลดลงกว่า 5% YTD ขณะที่หุ้น ICHI ราคาปรับขึ้นมาแล้วกว่า 12% YTD แต่คาดมีกำไรเติบโตที่ 10% น้อยกว่า SNNP 

ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมอิง PER เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ที่ 17 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 10.50 บาท ด้วยปัจจัยบวกที่กลับมาเร็วกว่าที่คาด รวมถึง upside ที่เปิดกว้างถึง 25% ฝ่ายวิจัยจึงปรับคำแนะนำการลงทุนจาก Neutral เป็น Outperform

แม้ทิศทางธุรกิจในระยะยาวยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผลประกอบการ 1Q67 ที่ออกมาต่ำคาดมาก น่าจะมีแรงเทขายในระยะสั้น ฝ่ายวิจัยลดน้ำหนักการลงทุนจาก outperform เป็น neutral รอคำชี้แจงจากผู้บริหารเพื่อประเมินตัวเลขประมาณการอีกครั้ง

มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 59 บาทต่อหุ้น ยังให้น้ำหนักตามฤดูกาลของธุรกิจหลักโรงกลั่นที่ทิศทางกำไรปกติน่าจะทำระดังสูงสุดของปีในไตรมาส 1 และจะเห็นการอ่อนตัวลงของค่าการกลั่นในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ก่อนที่จะดีดตัวอีกครั้งในช่วงฤดูหนาวปลายไตรมาส 4 ภายใต้ภาวะปกติ แต่ทั้งนี้ช่วงสั้นยังสามารถ trading ได้เป็นระลอกๆตามแนวโน้มค่าการกลั่นรายวัน 

คงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 3.7 บาท/หุ้น แม้กำไรปกติช่วงสั้นยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น แต่ภาพทั้งปี 2567คาดทำได้เพียงประคองตัว อีกทั้งฐานกำไรระยะยาวตั้งแต่ปี 2568 เริ่มลดลง จาก Adder หมด  แนะนำสับเปลี่ยนไปหุ้นโรงไฟฟ้าตัวอื่น อาทิ GULF GPSC BGRIM ที่ยังเห็นการเติบโตได้ดีกว่าในระยะยาว

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 56 บาท ช่วงสั้นคาดหวังกำไรเติบโตทำ New High ใน 2Q67 รวมถึงภาพระยะยาวยังมีโครงการขนาดใหญ่รอ COD ตามแผนอีกหลายโครงการ อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside สูง คงคำแนะนำ outperform เน้นทยอยสะสมลงทุนระยะยาว

กำไร 1Q67 ที่ออกมามีสัดส่วนราว 23.4% ของคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2567 เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี  2567 ไว้ที่ 1.06 หมื่นล้านบาท (+23% YoY) และราคาเป้าหมายที่ 37.00 บาท (อิง PER 36.9 เท่า) รวมทั้งคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 1Q67 ที่ยังโตดี YoY, และ 2) ภาพกำไรโดยรวมทั้งปี 2567 โตดีกว่าค่ามัธยฐานหุ้นกลุ่มพาณิชย์ที่เราศึกษา 

กระแสหนังไทยไม่แผ่ว ภาพยนตร์ “หลานม่า” และ ”อนงค์” เป็นตัวชูโรงใน 2Q67 และยังมีรายการสินทรัพย์ทางภาษีที่ยังไม่ได้รับรู้อีกราว 70-80 ล้านบาท จะทยอยบันทึกเข้ามาเป็นตัวช่วยในช่วงที่เหลือของปี ขณะที่การลดทุนโดยวิธีตัดหุ้นจดทะเบียนที่ซื้อคืน ทำให้มีจำนวนหุ้นลดลง 7.32% ส่งผลให้ FAir VAlue วิธี DCF ขยับขึ้นจาก 20.00 บาท เป็นเป็น 21.50 บาท ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform  

กำไร 1Q67 ออกมามีสัดส่วนราว 21% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 67 ไว้ที่ 760 ล้านบาท และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 22.70 บาท (อิงPER ที่ 28.7เท่า -1.0 SD) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ1)คาดกำไรกลับมาโตดีใน 2Q67 จากยอดขายเครื่องดื่มที่เข้าสู่ฤดูร้อน และ4Q67 คาดกำไรได้รับผลบวกฤดูกาลและกระเป๋าเงินดิจิทัล และ2) ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 5%YTD ในขณะที่SAPPE มีคาดการณ์กำไรเติบโตใกล้เคียงกัน แต่ราคาหุ้นปรับขึ้น 10%

เรายังคงประมาณการกำไรปี 2567 ไว้ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท คงราคาเป้าหมายไว้ที่ 86.50 บาท (NAV ที่อิง TP ADVANC ที่ 252 บาท) และคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ1) มีปัจจัยบวกจากกำไร 1Q67 ที่ออกมาดี และ 2) คาดผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 2567 ที่จูงใจราว 4.9% 

เรายังคงประมาณการกำไรปี 2567- 68 ไว้ที่ 6.7 พันล้านบาท และ 7.2 พันล้านบาท ตามลำดับ และคงราคาเป้าหมายที่ 14.30 บาท (อิง PER 28.1 เท่า) คงคำแนะนำ “Neutral” เนื่องจาก 1) กำไร 2Q67 ยังดูไม่สดใส จากกำลังซื้อที่ฟื้นช้า ซึ่งจะยังกดดัน SSSG ต่อ และช่วง low season ใน 3Q67 และ 2) ราคาหุ้นซื้อขายด้วย PER ปี 2567 ที่ 20.4 เท่า สะท้อนกำไรปี 2567 ที่คาดจะโตต่ำกว่ากลุ่มแล้ว 

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 55 บาท ช่วงสั้นยังมีปัจจัยหนุนจากผลประกอบการงวด 1Q67 ที่สดใส และทิศทางกำไรปกติที่คาดยังเติบโตต่อเนื่องไปจนถึง 3Q67 ประกอบกับภาพใหญ่ 1-2 ปีข้างหน้ายังเห็นการฟื้นตัวของกำไรได้ YoY คงคำแนะนำ Outperform โดยเน้นหาจังหวะทยอยสะสมลงทุนระยะยาว 

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 20.5 บาท/หุ้น ช่วงสั้นยังไม่มีปัจจัยบวกที่โดดเด่นข้าขับเคลื่อนราคาหุ้น ประกอบกับทิศทางกำไรปกติ 2Q67 เริ่มอ่อนตัวลงอีกครั้ง QoQ อย่างไรก็ตามภาพระยะยาวยังเห็นกำไรเติบโตขึ้นได้ YoY สอดรับกับสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป คงคำแนะนำ NEUTRAL

แนะนำ Outperform FV 19.00 บาท จากคำสั่งซื้อที่จะเพิ่มต่อเนื่องในทุกธุรกิจ และต้นทุนทูน่าที่ลดลง หนุนกำไรปกติ 2q67 คาดเติบโต QoQ และ YoY และต่อเนื่อง HoH ใน 2h67 ขณะที่ Valuation มี PER ซื้อขาย 11-12 เท่า, upside 26.7% พร้อมคาด Div Yield เฉลี่ย 4.6% ต่อปี (จ่ายปีละ 2 ครั้ง) 

ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2567-68 สะท้อนปริมาณขายไบโอดีเซลที่เพิ่มขึ้น จากสมมติฐานเดิม ส่งผลให้ FV ใหม่ปี 2567 อยู่ที่ 5.8 บาท/หุ้น อิง EPS 0.26 บาท/หุ้น (เดิม 0.15) และ PER เฉลี่ยถ่วงน้ำหนักใหม่ที่ 22.0 เท่า (เดิม 27.5) กำไรปกติรายปีเริ่มฟื้นตัวกลับสู่ฐานเดิมปี 64 ได้อีกครั้ง และมี upside ส่วนเพิ่มในปี 68 จากโครงการ SAF ที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการ เพิ่มคำแนะนำเป็น Neutral 

ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าพื้นฐานของ ANI อิงค่า PER ที่ 12 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 5.95 บาท มี upside 26.0% และมี dividend yield 4.2% ให้คำแนะนำการลงทุน outperform

ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 2.4 บาท/หุ้น ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นมีการปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆทั้งงบที่อาจยังไม่โดดเด่น และการฟื้นตัวที่ล่าช้าของจีนซึ่งเป็นผู้บริโภคปิโตรเคมีหลักไปแล้วระดับหนึ่ง ประกอบกับภาพรวมธุรกิจน่าจะทยอยฟื้นตัวตามลำดับในช่วงที่เหลือของปี 2567 แนะนำเป็น Neutral 

ประเมิน Fair Value อิง DDM ได้ราคาเหมาะสม 9.40 บาท มี upside 17.5% และ dividend yield 6.5% ให้คำแนะนำการลงทุน outperform

คงแนะนำ Outperform มองว่าการบริหารแบบอนุรักษ์นิยมกว่ากลุ่มฯ ยังเป็นจุดเด่นของ BBL ด้านราคาหุ้นปรับฐานมาพอควร ซึ่งราคาปัจจุบันถือว่าใกล้เคียงกับ ส.ค. 65 ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยอยู่ที่ 0.50% - 0.75% ประกอบกับ PBV ซื้อขาย 0.47 เท่า และ Div Yield ราว 5.1% ต่อปี ในเชิง Valuation ไม่แพงแล้ว

กำไร 1Q67 มีสัดส่วน 22% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี แต่เรายังคงประมาณกำไรปี 2567 ไว้ที่ 1.1 พันล้านบาท (+94% YoY) เพราะคาดกำไรที่จะไต่ระดับดีขึ้นใน 2H67 ตามกำลังซื้อที่ดีขึ้น และคงราคาเป้าหมายที่ 12.10 บาท (อิง PER 34.4 เท่า) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 1Q67 ที่โตแรง QoQ และภาพรวมปี 2567 ที่โตแรงสุดในกลุ่ม, 2) ราคาหุ้นปรับลงไปแล้ว 11% Ytd ใกล้เคียงกับกลุ่ม ขณะที่ภาพรวมของตลาดปรับลงเพียง 8%

จากกำไรต่ำสุดของปีผ่านพ้น 1Q67 และรอฟื้นตัวมากขึ้นตั้งแต่ 2Q67 หนุนจากเปิดโครงการแนวราบใหม่, ส่งมอบ 3 คอนโดฯ ใหม่ใน 2Q-3Q67 และอานิสงค์จากมาตรการลดค่าโอนฯ-จดจำนอง ซึ่ง AP มีสัดส่วน 52% ของพอร์ตสินค้าพร้อมขาย และ 56% ของ Backlog รวมที่จะได้ประโยชน์ส่วนนี้ คงแนะนำOutperform ด้วย FV 16.00 บาท ยังชอบด้วยการมี Backlog ระดับสูง, พอร์ตสินค้าหลากหลาย, การเงินแข็งแรง และปันผลสูงกว่า 6% ต่อปี

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 10.9 บาท/หุ้น  แม้คาดทิศทางกำไรจะผ่านพ้นช่วงสูงสุดของปีตามฤดูกาลปกติของกลุ่มโรงกลั่นมาแล้วใน 1Q67 แต่ยังคาดหวังได้จากการกลับมาจ่ายปันผลอีกครั้งในปีนี้ ที่ div.yield ทั้งปีกว่า 6%  ตามรอบผลประกอบการที่คาดพลิกฟื้นกลับมาเป็นกำไรสุทธิได้

คงประมาณการและ FV ปี 2567 ที่ 8.0 บาท/หุ้น ช่วงสั้นกำไรปกติ 2Q67 ถูกกดดันจาก Adder ที่หมดอีกระลอก อีกทั้งภาพระยะยาวยังมีความกังวลจากการหาโครงการใหม่เพื่อชดเชยโรงไฟฟ้าญี่ปุ่นที่ขายออกไป ส่งผลให้ฐานกำไรปกติช่วง 1-2 ปีข้างหน้ายังไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับฐานในอดีต แนะนำสับเปลี่ยนไปหุ้นโรงไฟฟ้าตัวอื่น อาทิ GULF GPSC BGRIM ที่ยังเห็นการเติบโตได้ดีกว่าในระยะยาว 

คงแนะนำ Outperform และเลือกเป็น Top pick กลุ่มฯ จากคุณภาพสินทรัพย์มีพัฒนาการชัดเจนและคาดต่อเนื่อง 2H67 หนุนด้วยการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ด้าน PER ซื้อขาย 17 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 24 เท่า    

คงแนะนำ Outperform (ชอบรองจาก MTC) จาก Coverage ratio สูงกว่ากลุ่มฯ และคาดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ช่วยหนุนคุณภาพสินทรัพย์ช่วงที่เหลือของปี อีกทั้งแผนการปรับโครงสร้างเป็น Holding company ลดความจำเป็นในการจ่ายหุ้นปันผล ส่งผลให้แรงกดดันต่อ EPS ในอนาคตเบาลง 

เน้นปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจตามสถานการณ์ อาศัยจุดเด่นเรื่องความยืดหยุ่นในการบริหารงานและเครือข่าย Outlet ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ เดินหน้าปรับภาพลักษณ์ Outlet ให้ดูทันสมัย สอดรับกับแผนการเพิ่มสินค้าในกลุ่ม Medium-High มากขึ้น แม้จะกระทบต่ออัตราการจ่ายเงินปันผลที่ลดลงบ้าง แต่จะส่งผลดีในระยะยาว ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DDM ที่ 2.14 บาท 

คงประมาณการ และ FV ณ สิ้นปี 2567 ที่ 18 บาท/หุ้น ช่วงสั้นอาจเพียง Trading จากกำไร 1H67 ที่ฟื้นตัวตามช่วงฤดูกาล แต่ภาพระยะยาวยังขาดความน่าสนใจ จากฐานกำไรที่ลดลงตามโครงสร้างสัญญา PPA หรืออีกทางเลือกที่เห็นกำไรเติบโตได้ดีทั้ง 1H67 และ YoY อาทิ BGRIM , GPSC อาจมีความน่าสนใจกว่า

ช่วงครึ่งหลังของปีมีปัจจัยหนุนที่โดดเด่น โดยการเปิดให้บริการคลินิคมะเร็งรังสีรักษา และให้บริการทันตกรรมเคลื่อนที่ ช่วยดันยอดคนไข้ทุกประเภท อีกทั้งผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลใหม่ทั้ง 3 แห่งดีขึ้นต่อเนื่อง ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 23.20 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral

จากการพลิกมามีกำไรปกติได้เร็วกว่าคาด ทำให้เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ TRUE มากขึ้น โดยได้ปรับคาดการณ์ผลการดำเนินงานปี 2567 ขึ้นจากที่เดิมคาดจะยังขาดทุนปกติ 4.1 พันล้านบาท เป็นกำไรปกติ 2.6 พันล้านบาท ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ปรับขึ้นจากเดิม 8.50 บาท เป็น 9.60 บาท ปรับคำแนะนำขึ้นจาก “Neutral” เป็น “Outperform” จากผลประกอบการที่ฟื้นตัวได้เร็วกว่าคาด

เลือก AOT(FV@B74) จากการเป็นหุ้นแกนหลักของการท่องเที่ยวไทย ส่วนกลุ่มโรงแรมเชิงกลยุทธ์มองไปที่ ERW (FV@B5.5) เพราะราคาหุ้น Laggard กลุ่มฯ และ Hop INN ญี่ปุ่นหลังเริ่มเปิดครบ 4 แห่งงวด 1Q67 มี Occupancy rate ราว 50% ถือว่าทำได้ดีเมื่อเทียบกับสมมติฐานฝ่ายวิจัยทั้งปีที่คาดไว้ 55% 

ลงทุนเท่าตลาด แม้ระยะสั้นจะมีแรงกดดันจาก 1Q67 ที่อ่อนแอ แต่คาดเป็นจุดต่ำสุดของปี ก่อนค่อย ๆ ฟื้นขึ้น 2Q67 และต่อเนื่อง 2H67 หนุนจากการลดค่าโอนฯ-จดจำนอง, ดอกเบี้ยไทยที่มีโอกาสปรับลงในครึ่งปีหลัง และเศรษฐกิจไทยที่หวังฟื้นตัวมากขึ้น ตลอดจนการเปิดโครงการใหม่และส่งมอบคอนโดฯ ใหม่เพิ่มตั้งแต่ 2Q67 เลือกหุ้นเด่น คือ AP (FV@B16.00) และ SPALI (FV@B25.40) จากการฟื้นตัวโดดเด่นของกำไรตั้งแต่ 2Q67, มีพอร์ตสินค้าหลากหลาย และได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ, การเงินแข็งแรง และปันผลสูงเกิน 6% ต่อปี

ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง รองรับด้วย Backlog เกือบ 1.5 หมื่นล้านบาท และมีโอกาสคว้างานก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มอีก 2 แห่ง มูลค่ารวม 1.1 หมื่นล้านบาท ภายในปีนี้  ขณะที่ราคาหุ้นมี Valuation ต่ำมากเกินไป โดยมี PER เพียง 5 เท่า และซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี แนะนำ Outperform ประเมินราคาเหมาะสม 6.50 บาท 

ผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าเติบโตได้จากคนไข้ต่างชาติที่ฟื้นตัว ในขณะที่โรงพยาบาลใหม่ภูเก็ตจะเป็นแรงขับเคลื่อนผลประกอบการระยะยาว ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ผลการดำเนินงานเติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี ในปี 2567-2570 ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 304 บาท อิงวิธี DCF แนะนำ OUTPERFORM

แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมจะมีกระแสเชิงบวกจากโครงการลงทุนภาครัฐที่จะมีมากขึ้น แต่ส่วนแบ่งขาดทุนที่สูงกว่าคาดมากจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู ถือเป็น Downside Risk สำคัญต่อประมาณการ ลดน้ำหนักลงทุนเป็น Underperform ประเมินมูลค่าเหมาะสมอิง PBV 0.89 เท่า อยู่ที่ 10.50 บาท 

ปรับเพิ่มกำไรปกติปี 2567 ขึ้นจากเดิม 13% เป็น 3.25 พันล้านบาท (+40% yoy) และมูลค่าพื้นฐานใหม่ปีนี้ขยับมาที่ 26.00 บาท (เดิม 23.0 บาท) คงแนะนำ outperform จากทิศทางกำไรเติบโต YoY ต่อเนื่องทุกไตรมาส (2Q-4Q67) ขณะที่กำไรทั้งปีเติบโตสูงกว่าภาพรวมตลาดฯ พร้อมคาดปันผลเฉลี่ย 3% ต่อปี

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐาน ปี 2567 ที่ 9.8 บาท/หุ้น ช่วงสั้นยังขาดปัจจัยหนุนราคาหุ้น จากแนวโน้มกำไร 1Q67 ที่อ่อนแอ อีกทั้งภาพใหญ่ปี 2567 คาดเห็นฐานกำไรลดลง YoY ภายใต้สัญญา PTW ฉบับใหม่ที่คาดกำไรลดลงจากสัญญาเดิม จึงคาดหวังปันผลเหลือเพียง 5%/ปี คงคำแนะนำ underperform 

แม้ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง และได้กระแสบวกจากการเร่งเดินหน้าเปิดประมูลโครงการภาครัฐ แต่ผลประกอบการที่พลิกเป็นขาดทุน น่าจะกดดันราคาหุ้นในระยะสั้น จึงลดน้ำหนักลงทุนจาก Outperform เป็น Neutral ประเมินราคาเหมาะสมภายใต้วิธี Sum of the part ได้ที่ 28.00 บาท เทียบเท่า PER 24.6 เท่า

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567-68 ลง สะท้อนการปรับปรุงการรับรู้ดอกเบี้ยรับ-จ่าย ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานในปัจจุบัน โดยเฉพาะดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นมีนัยฯ จากสมมติฐานเดิม ส่งผลให้ FV ใหม่ปี 2567 อยู่ที่ 56 บาท (เดิม 63) ภาพการเติบโตของกำไรยังแข็งแกร่ง และโดดเด่นในกลุ่มโรงไฟฟ้า จาก Backlog ที่เหลืออีกกว่า 5.8 พัน MWe เน้นทยอยสะสมลงทุนระยะยาว

หากกำไร 1Q67 เป็นไปอย่างคาด จะมีสัดส่วน 22% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี 2567 ของเราที่ 9.9 พันล้านบาท (+23% YoY) ขณะที่แนวโน้มใน 2Q67 – 3Q67 จะยังไม่ดีนัก จากกำลังซื้อที่ฟื้นช้า และ low season เราจึงปรับคำแนะนำจาก“Outperform” เป็น “Neutral” เพราะ 1) ระยะสั้นคาดกำไร 1Q67 ไม่เด่น, และ 2) แนวโน้มกำไรระยะถัดไปเป็นขาลง ใน 2Q67 – 3Q67 ซึ่งจะทำให้ประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 48.00 บาท ของเรามี downside 

กำไรงวด 1Q67 ที่ออกมามีสัดส่วนราว 25% ของคาดการณ์ทั้งปี ทำให้เราคงประมาณการกำไรปี 2567 ไว้ที่ 6.0 พันล้านบาท (-24% YoY) และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 8.05 บาท คงคำแนะนำเดิม “Neutral” แม้กำไร 1Q67 ที่ออกมาดี จะตกต่ำ YoY และภาพรวมทั้งปีจะยังชะลอตัว แต่ยังมีเงินคืนทุนที่จูงใจ โดยเงินคืนทุนงวด 1Q67 หรือคิดเป็น yield 3.3%  

แม้กำไรสุทธิ 1Q67 มีสัดส่วน 28% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี แต่คาดรายได้ใน 2Q67 – 3Q67 จะถูกกดดันจากผลของฤดูกาล เราจึงคงประมาณการกำไรปี 2567 ไว้ที่ 3.0 หมื่นล้านบาท (+7% YoY) และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 252 บาท คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 1Q67 ที่ออกมาดีกว่าคาด, และ 2) ราคาหุ้นซื้อขายด้วย PER ปี 2567 ที่ 19 เท่า ต่ำกว่า 3 ปีก่อนหน้าที่มีกำไรโตเฉลี่ยเพียง 2% แต่ซื้อขายด้วย PER 22.2 เท่า

ประเมิน Fair Value อิง DDM ได้ราคาเหมาะสม 9.40 บาท มี upside 17.5% และ dividend yield 6.5% ให้คำแนะนำการลงทุน outperform

แนะนำ Outperform หลังแรงกดดันจากจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น เพราะการจ่ายหุ้นปันผลในอนาคตเบาลง และคุณภาพสินทรัพย์รับประโยชน์จากงบประมาณภาครัฐ 

คงประมาณการ และ Fv ปี 2567 ที่ 55 บาท ปรับเพิ่มคำแนะนำขึ้นเป็น Outperform จากทิศทางกำไรปกติที่คาดยังเห็นการฟื้นตัวต่อเนื่องไปจนถึง 3Q67 อีกทั้งปัจจัยพื้นฐานระยะยาวยังแข็งแกร่ง จากการเป็น flagship ธุรกิจไฟฟ้าภายใต้กลุ่ม ปตท. ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับฐานลงมาแล้วระดับหนึ่ง จนเริ่มเห็น upside มากขึ้น  มองเป็นโอกาสเข้าทยอยสะสมลงทุนระยะยาว 

คงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 34 บาท/หุ้น ช่วงสั้นคาดมีแรงหนุนได้จากทิศทางกำไรปกติที่สดใสใน 1H67 ประกอบกับภาพระยะยาว 2-3 ปีต่อจากนี้ยังเห็นการทยอยฟื้นตัวของกำไรได้ต่อเนื่อง YoY ประกอบกับช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นเริ่มปรับฐานลงมาแล้วระดับหนึ่ง มองเป็นจังหวะทยอยเข้าสะสมลงทุนระยะยาว 

กำไร 1Q67 ออกมามีสัดส่วนราว 26% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 2567 ไว้ที่ 6.7 พันล้านบาท (+4% YoY) คงราคาเป้าหมายที่ 14.30 บาท (อิง PER 28.1 เท่า) และคงคำแนะนำ “Neutral” แม้แนวโน้มกำไร 2Q67 ยังไม่เด่น และจะเป็นขาลงใน 3Q67 เพราะ 1) คาดกำไรกลับมาโตดีอีกครั้งใน 4Q67 จากผลของฤดูกาล บวกกับมาตรการ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” และ 2) ราคาหุ้นปรับลงแล้ว 13% YTD มากกว่าหุ้นในกลุ่ม สะท้อนกำไรที่คาดจะโตต่ำกว่ากลุ่มแล้ว

ทิศทางกำไร 1Q67 ยังแข็งแรง และทั้งปี 2567 มีโอกาสทำ New High ที่ 1.56 หมื่นล้านบาท (+4% yoy) แม้ต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายสุทธิ (หลังหักรายได้ค่าเช่าจาก CPNREIT) ที่จะเพิ่มขึ้นจากการต่อสัญญาเช่าที่ดินปิ่นเกล้าก็ตาม  จึงคงแนะนำ Outperform ที่ FV ปี 2567 เท่ากับ 83.00 บาท ทั้งนี้มองว่าการระดมทุนของ CPNREIT ถือเป็นประเด็นที่ตลาดฯ ให้ความสนใจ หากสำเร็จตามแผน มีโอกาสขับเคลื่อนราคาหุ้นให้กับ CPN ในระยะถัดไปได้

คงประมาณการ และคำแนะนำ หลังปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้แตกต่างจากบทวิเคราะห์ฉบับก่อนอย่างมีนัยฯ ประกอบกับการที่ภาครัฐมีแผนพัฒนาซูเปอร์   แอปแห่งชาติ “ทางรัฐ” ซึ่งมีโอกาสถูกนำมาใช้เพื่อรองรับการแจกเงินดิจิทัลและบริการภาครัฐด้านอื่นๆ ในอนาคต (ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 26 เม.ย. 67) คาดส่งผลให้ความตื่นเต้นเชิง Sentiment จาก ธีมเป๋าตัง เบาลงเมื่อเทียบกับในอดีต โดยตัวเลือกในกลุ่มฯ มองไปที่ TTB, KBANK และ BBL 

แนวโน้มผลการดำเนินงานช่วงที่เหลือของปีสดใส รับผลบวกจากต้นทุนถ่านหินที่ลดลง และ Demand ซีเมนต์ในประเทศที่ดีขึ้นหลัง พ.ร.บ งบประมาณปี 67 เริ่มเบิกจ่าย โดยมี Project Fit+ เสริมความแข็งแกร่งให้องค์กรในระยะยาว มีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการ ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสม 172 บาท 

จากแนวโน้มกำไร 1Q67 และต่อเนื่องจาก 2Q67 ยังไม่เด่น ทำให้ราคาหุ้นขาดปัจจัยขับเคลื่อนระยะสั้น ขณะที่ LH เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ไม่ได้ประโยชน์มากนัก จากมาตรการอสังหาฯ ภาครัฐ เนื่องจากพอร์ตสินค้าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มบ้านระดับบน จึงปรับลดคำแนะนำเป็น Neutral โดยต้องรอดูทิศทางยอดขายและโอนฯ 2Q67 อีกครั้ง หากเห็นสัญญาณดีขึ้น ค่อยเข้ามาลงทุนใหม่ รอรับแนวโน้ม 2H67 ที่จะดีกว่า 1H67 หนุนจากเปิดแนวราบใหม่และขาย Terminal 21 พัทยา เข้า LHSC

ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2567- 68 ลง สะท้อนค่าใช้จ่าย SG&A ที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ FV ใหม่ ปี 2567 อยู่ที่ 8.0 บาท/หุ้น (เดิม 10 บาท) ช่วงสั้นยังมีแรงกดดันจาก Adder ที่ทยอยหมดอีกระลอกใน 2q67 อีกทั้งภาพกำไรปกติทั้งปียังไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับฐานในอดีต ปรับลดคำแนะนำลงเป็น Underperform รอการลงทุนโครงการใหม่ๆ ที่จะเข้ามาช่วยหนุนฐานกำไรให้แข็งแกร่งอีกครั้ง

หากกำไร 1Q67 เป็นไปตามคาด จะมีสัดส่วน 24% ของคาดกำไรทั้งปี 2567 เราจึงคงประมาณการกำไรปี 67–68 คงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 83.0 บาท(อิง PER 34.0 เท่า) และคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1)คาดกำไร1Q67โตแรงYoY ต่อเนื่องไปใน 2Q67และ4Q67จากผลบวกของฤดูกาล และ2)ราคาหุ้นปรับลง 21%YTDขณะที่OSpมีคาดกำไรปี2567ที่โตน้อยกว่าแต่ราคาลดลงเพียง 3%YTD 

การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้า และ demand ที่ยังซบเซา จะเป็นปัจจัยกดดันผลประกอบการช่วง 1H67 แต่ gross margin ที่มีแนวโน้มกลับมาสูงกว่าปี 2566 และมีนโยบายรักษาระดับ dividend payout ratio ที่ 70% ประกอบกับมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ 2 ครั้งต่อปี ประเมินมูลค่าเหมาะสม อิง PER เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 12 เท่า ได้ Fair Value 6.10 บาท มี upside จำกัด แต่มี Dividend Yield 5.61% ให้คำแนะนำการลงทุน neutral

ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าพื้นฐานของ SJWD โดยใช้วิธี DCF (กำหนดสมมติฐาน WACC ที่ 6.6% และ Terminal growth rate ที่ 3%) ได้ราคาเหมาะสมที่ 18.70 บาท มี upside 26.4% ให้น้ำหนักการลงทุน outperform

ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2567 อิง PER 14.8 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 27.30 บาท มี upside 22.4% และมี dividend yield 3.3% ให้คำแนะนำ outperform บนมุมมองอุตสาหกรรมที่สดใส

ทิศทางธุรกิจระยะยาวสดใส เดินหน้าทำกำไร New High ต่อเนื่อง จากฐานธุรกิจเดิมที่เติบโตขึ้นตามจำนวนผู้ใช้บริการ และโอกาสคว้าสัญญาใหม่ทั้งการเดินรถไฟฟ้าสายสีส้ม สายสีม่วงใต้ และทางด่วนชั้นที่ 2 ที่จะมีความชัดเจนในปีนี้ ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF อยู่ที่ 11.00 บาท  

จากทิศทางกำไร 1Q67 อ่อนแอกว่าที่เคยคาด และ 2Q67 ยังไม่เด่น เพิ่มความเสี่ยงขาลงต่อประมาณการกำไรปีนี้ ทำให้ราคาหุ้นขาดแรงขับเคลื่อนช่วงสั้น ขณะที่พอร์ตสินค้าของ SC ส่วนใหญ่อยู่ในบ้านระดับบน จึงไม่ได้ประโยชน์มากนักต่อมาตรการอสังหาฯ ของภาครัฐ จึงปรับลดเป็น Neutral และรอดูทิศทางยอดขายและโอนฯ 2Q67 หากเห็นสัญญาณที่ดีมากขึ้น ค่อยเข้าสะสมใหม่

แนะนำ Outperform ถือเป็นอีก 1 หุ้น ที่ได้รับประโยชน์จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ หนุนทิศทางกำไรช่วงที่เหลือของปีเร่งตัวขึ้น ทั้งจากการฟื้นตัวของคุณภาพสินทรัพย์และการขยายตัวด้านสินเชื่อ โดยเฉพาะพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือ 2 รับอานิสงค์ความต้องการใช้รถยนต์พาณิชย์เพิ่มขึ้นตามการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ภาพรวมประเมินส่งให้ EPS ปีนี้เติบโต 14% YoY                

คงแนะนำ Outperform เลือกเป็น Top pick กลุ่มฯ บนธีมคุณภาพสินทรัพย์ฟื้นตัว แรงส่งของงบประมาณภาครัฐและโอกาสเกิดลานีญาช่วง 2H67 พร้อมคาด EPS ปีนี้ เติบโต 16% YoY เด่นสุดในกลุ่มฯ  ประกอบกับ PER ซื้อขายที่ 17 เท่า มองว่า Valuation ไม่แพง เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ซื้อขายราว 24 เท่า  

การเตรียมพร้อมรับมือด้วยการลงทุนโครงการลดต้นทุนต่างๆที่ดำเนินการในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ช่วยให้ TPIPL รักษาฐานกำไรได้ในระดับที่น่าพอใจแม้เงินสนับสนุน Adder ธุรกิจโรงไฟฟ้าทยอยหมดลง ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี Valuation ต่ำมาก วัดจากค่า PER และ PBV อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยกดดันเกี่ยวกับค่าปรับคดีบุกรุกเหมืองที่ยังไม่ได้ข้อยุติ แนะนำ Neutral ประเมินราคาเหมาะสมที่ 1.90 บาท 

คงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 3.7 บาท/หุ้น แม้ยังเห็นการฟื้นตัวของกำไรปกติได้ในช่วงสั้น แต่ภาพทั้งปีกำไรเพียงประคองตัว อีกทั้งระยะยาวยังขาดความน่าสนใจ หาก Adder หมดลงในปี 2568 จึงคงแนะนำ Underperform โดยเน้นหาจังหวะ switch ไปหุ้นโรงไฟฟ้าอื่นๆ ที่ยังเห็นการเติบโตได้ดีกว่าในระยะยาว  

หากกำไร 1Q67 เป็นไปอย่างคาด จะมีสัดส่วนเพียง 20% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี ซึ่งจะทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ของเราที่ 5.5 พันล้านบาท มี downside ราว 4% - 5% เราจึงปรับลดคำแนะนำลงจากเดิม “Outperform” เป็น “Neutral” เพราะภาพกำไร 1Q67 ที่คาดจะอ่อนแอลงทั้ง QoQ และ YoY อีกทั้งระยะถัดไปใน 2Q67 – 3Q67 ยังมีแนวโน้มเป็นขาลงต่อ จากกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ และ low season โดยคาดหวังการเติบโตของกำไรได้อีกครั้งใน 4Q67

ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 67 ที่ 180 บาทต่อหุ้น ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบตั้งแต่ปี 67 ที่ 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล ถือเป็นหุ้นที่มีความแข็งแรงของกำไรในรายไตรมาส และรายปี โดยมีปริมาณขายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ขณะที่ราคาขายโดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบจะถือเป็น upside เพราะสมมติฐานทั้งราคาและปริมาณขายอยู่ภายใต้หลักความระมัดระวัง ดังนั้นมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการได้ โดยยังคงแนะนำในลักษณะ trading ตามราคาน้ำมัน พร้อมรับปันผลสูง

ปรับประมาณการกำไรปี 2567 ลง 31% สะท้อนผลประกอบการธุรกิจปิโตรเคมีที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด แต่มั่นใจจะเห็นภาพการฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆในช่วงครึ่งปีหลัง และSCC จะกลับมาทำกำไรเติบโตอีกครั้งในปี 2568 หลังธุรกิจปิโตรเคมีผ่านวัฏจักรขาลง ให้น้ำหนักลงทุน  Neutral ประเมินราคาเหมาะสมใหม่วิธี DCF ได้ที่ 320 บาท  

แนวโน้มผลประกอบการยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของคนไข้ต่างชาติ และการขยายศูนย์ส่งต่อผู้ป่วยไปยังตลาดใหม่ อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามประเด็นสงครามตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด แต่คาดว่าผลกระทบค่อนข้างจำกัด ประเมิน FV ที่ 304 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน OUTPERFORM

จากแนวโน้มกำไรปกติ 1Q67 ที่ไม่น่าตื่นเต้น และ 2Q67 ยังประเมินทรงตัว ขณะที่ภาพกำไรปีนี้คาดชะลอตัวลงจากฐานสูงปีก่อน รวมถึงความน่าสนใจของเงินปันผลช่วงสั้นที่หมดไป หลังผ่านพ้นการขึ้นเครื่องหมาย XD จึงคงแนะนำ Neutral  มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 2.20 บาท 

มุมมองที่ฝ่ายวิจัยมีต่อ PLANB ยังไม่เปลี่ยน เชื่อกำไรจะขยับฐานขึ้นทุกไตรมาสไปทำจุดสูงสุดในไตรมาส 4 ไฮไลท์ปีนี้คือการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนการลงทุนที่ผ่านมา พร้อมเดินหน้าผลักดันธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วมให้เติบโตทั้ง ธุรกิจมวย ฟุตบอล และการบริหารสิทธิ์ปารีส โอลิมปิก ให้น้ำหนักลงทุน Outperform 

ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่หนุนธุรกิจนิคมฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลให้เกิด sentiment การย้ายฐานการผลิตจากต่างประเทศหลั่งไหลเข้าไทย อีกทั้ง WHA มีแผนที่จะสร้างนิคมในไทยและเวียดนามอีกจำนวนมาก ประเมินมูลค่าเหมาะสมอิง Historical PER 10 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 20 เท่า ได้ FV. 5.95 บาท มี upside 25% ให้คำแนะนำเป็น Outperform 

กลุ่มฯ มี Valuation ไม่แพงจาก PBV กลุ่มฯ เฉลี่ย 0.8 เท่า พร้อม Div Yield เกิน 5% ต่อปี เลือก TTB ที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นกันชนยังคงได้เปรียบกลุ่มฯ และ Div yield ราว 6% ต่อปี ตามด้วย KBANK และ BBL คาดหวังประโยชน์จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐมากสุดในกลุ่มฯ และทั้งคู่ซื้อขายบน PBV ไม่แพงที่ 0.5 เท่า และประเมิน Div yield ราว 5% ต่อปี โดยสรุปแล้วการลงทุนหุ้นในกลุ่มฯ เรียงตามความชอบดังนี้ TTB > KBANK > BBL > KTB > TISCO, SCB > KKP                                              

มูลค่าพื้นฐานปี 2567 อยู่ที่ 36 บาทต่อหุ้น ภายใต้การรวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯใหม่ของไทยกรณี worst case แล้ว ดังนั้นหากมีแนวทางแก้ไขที่เป็นบวก จะถือเป็น upside จากมูลค่าพื้นฐานปัจจุบัน ซึ่งราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมามีการขยับตัวขึ้นบ้างรอรับการฟื้นตัวของธุรกิจ ซึ่งหากเศรษฐกิจมีการขยับตัวได้ดี เชื่อจะเป็นบวกต่อราคาหุ้นจากนี้ได้  

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 10.9 บาท/หุ้น  แม้อาจมีแรงหนุนช่วงสั้นจากผลประกอบการ 1Q67 ที่สดใส แต่คาดเป็นช่วงสูงสุดของปีตามฤดูกาลปกติของกลุ่มโรงกลั่น จึงคงคำแนะนำ Neutral โดยเน้นหาจังหวะเข้า trading ช่วงสั้น ตามทิศทางค่าการกลั่นที่อาจดีดตัวขึ้นตามความผันผวนของราคาน้ำมัน

คงแนะนำ Outperform ที่ FV 16.00 บาท แม้ระยะสั้น 1Q67 จะไม่โดดเด่น แต่ถือเป็นจุดต่ำสุดของปี ก่อนสูงขึ้น 2Q67 จากส่งมอบ 3 คอนโดฯ ใหม่ นอกจากนี้ AP เป็นหนึ่งที่ได้ประโยชน์จากมาตรการอสังหาฯ ภาครัฐ เนื่องจากพอร์ตสินค้าเกือบครึ่งอยู่ในกลุ่มบ้านไม่เกิน 7 ล้านบาท ด้าน PER ซื้อขายเฉลี่ย 5 เท่า และเงินปันผลรอบปี 2566 หุ้นละ 0.70 บาท เทียบเท่า 6.6% ขึ้น XD 8 พ.ค. 2567 

ราคาหุ้นปรับขึ้น 17% นับจากต้นเดือน เม.ย สวนทาง SET index ที่ปรับลง 1% ในช่วงเวลาเดียวกันตอบรับความคาดหวังเชิงบวกต่อกำไร 1Q67 ที่ฟื้นตัว แม้ทิศทางผลประกอบการยังดูดีใน 2Q67 แต่ก็น่าจะลดลง QoQ อีกทั้งดีลการซื้อหุ้น Fajar เพิ่ม จะกดดันกำไรช่วงครึ่งปีหลัง ลดน้ำหนักการลงทุนจาก Outperform เป็น Neutral ประเมินราคาเหมาะสมที่ 45.00 บาท เทียบเท่า Implied PER 30 เท่า

มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 59 บาทต่อหุ้น แนะนำให้หาจังหวะขายทำกำไรรับงบ 1Q67 ที่น่าจะทำระดังสูงสุดของปีตามทิศทางกำไรธุรกิจหลักโรงกลั่นที่อยู่ในช่วงฤดูกาล โดยน่าจะเห็นการอ่อนตัวลงของค่าการกลั่นในไตรมาส 2 และ 3 ภายใต้ภาวะปกติ จึงปรับลดคำแนะนำลงทุนเป็น Neutral จาก Outperform แต่ช่วงสั้นยังสามารถ trading ได้เป็นระลอกๆตามทิศทางค่าการกลั่น 

แม้ระยะสั้นจะถูกกดดันจากกำไร 1Q67 ที่ไม่สดใส แต่มองว่าเงินปันผล 2H66 ระดับ 3.7 ที่จะขึ้น XD 7 พ.ค. 2567 และแรงหนุนจากมาตรการลดค่าโอนฯ-จดจำนองของภาครัฐที่จะส่งผลบวกต่อบริษัท คาดผลักดันต่อ 2Q67 ฟื้นตัวอย่างมีนัยฯ และพยุงต่อราคาหุ้น จึงคงแนะนำ Outperform ด้วย FV ใหม่ปี 2567 ที่ 25.40 บาท ราคายังมี upside 24% และ Valuation หุ้นที่ไม่แพงด้วย PER ซื้อขายต่ำกว่า 7 เท่า รวมถึงสามารถคาดหวังเงินปันผลเฉลี่ยเกินกว่า 7% ต่อปี

คงแนะนำ Outperform มีสัญญาณบวกจาก Credit cost เริ่มอยู่ในกรอบเป้าหมายและคาดรายปีมีพัฒนาการดีขึ้น (KBANK มองกลับสู่ 1.4% - 1.6% ในปี 2568) ประกอบกับการบริหาร Cost to income ratio ทำได้ดีกว่ากลุ่มฯ และ Valuation ไม่แพงมี PBV ราว 0.5 เท่า และ Div yield 5% 

ประเมินมูลค่าเหมาะสมอิง PER เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ที่ 17 เท่า ได้ FV 10.50 บาท แม้ upside เปิดกว้าง แต่ในระยะสั้นยังขาด catalyst ที่จะช่วยกระตุ้นราคาหุ้น ยังคงให้คำแนะนำ neutral

หากกำไร 1Q67 เป็นไปดังคาด จะมีสัดส่วน 21% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี แต่เรายังคงประมาณกำไรปี 2567 ไว้ที่ 1.1 พันล้านบาท (+94% YoY) เพราะคาดกำไรที่จะไต่ระดับดีขึ้นใน 2H67 ตามกำลังซื้อที่ดีขึ้น และคงราคาเป้าหมายที่ 12.10 บาท (อิง PER 34.4 เท่า) แต่ได้ปรับคำแนะนำจากเดิม “Neutral” เป็น “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 1Q67 ที่โตแรง QoQ และภาพรวมปี 2567 ที่โตแรงสุดในกลุ่ม และ 2) ราคาหุ้นปรับลง 13% Ytd ขณะที่หุ้นในกลุ่มลดลง 9%

ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 2.4 บาท/หุ้น ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นมีการปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆทั้งงบที่อาจยังไม่โดดเด่น และการฟื้นตัวที่ล่าช้าของจีนซึ่งเป็นผู้บริโภคปิโตรเคมีหลักไปแล้วระดับหนึ่ง ประกอบกับภาพรวมธุรกิจน่าจะทยอยฟื้นตัวตามลำดับในช่วงที่เหลือของปี 2567 แนะนำเป็น Neutral 

ธุรกิจโรงภาพยนตร์ปีนี้ได้หนังไทยมาช่วยเต็มๆ โดยเฉพาะภาพยนตร์เรื่อง “หลานม่า” ที่กำลังกวาดรายได้ถล่มทลาย และมีหนังไทยอีกหลายเรื่องเตรียมเข้าฉายใน 2Q67 ขณะที่รายการสินทรัพย์ทางภาษีที่ยังไม่ได้รับรู้อีกราว 70-80 ล้านบาท จะทยอยบันทึกเข้ามาเป็นตัวช่วยในช่วงที่เหลือของปี ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุน Outperform  ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF ได้ที่  20.00 บาท

คุณภาพสินทรัพย์ดูมีจุดเปราะบาง และมีความเสี่ยงที่แนวโน้ม ECL จะเร่งตัวขึ้นในช่วงถัดไป คงแนะนำ Underperform โดยในกลุ่มฯ ชอบ TTB (FV@B1.98) มากสุด จากการมี tax shield และ Div yield 6.3% ต่อปี

แม้ upside เริ่มเปิด และราคาหุ้นมีโอกาสตอบสนองเชิงบวกจากกำไรที่ดีกว่าตลาดคาด แต่หลังจากนั้นน่าจะขาดปัจจัยกระตุ้น ส่วนประเด็นการเบิกจ่ายภาครัฐ คงมุมมองว่าสินเชื่อรัฐบาล อัตราดอกเบี้ยไม่สูง จึงไม่เห็นผลบวกต่อ NII ดังที่เกิดในงวด 1Q67 คงแนะนำ Neutral โดยหุ้นในกลุ่มฯ เรียงตามความชอบดังนี้ TTB > BBL > KTB > TISCO > SCB > KKP    

แนะนำ Outperform จากการมีสิทธิประโยชน์ทางภาษี หนุนทิศทางกำไรปี 2567 – 68  เติบโตดีกว่ากลุ่มฯ ผลักดันแนวโน้ม ROE เป็นขาขึ้น บนคาดการณ์ Div Yield น่าสนใจราว 6% ต่อปี (สมมติฐาน Dividend payout ratio ปี 2567 – 69 ที่ 55% ของกำไรสุทธิ)      

คงประมาณการ แนะนำ Neutral ด้วยพอร์ตสินเชื่อรายย่อยยังน่ากังวล มองว่าหลังผ่าน XD ราคาหุ้นขาดปัจจัยกระตุ้น คาดหวัง Div yield 9% ต่อปี ช่วย Limit downside ต่อราคาหุ้น โดยตัวเลือกในกลุ่มฯ เลือก TTB(FV@B1.98) ที่มี tax shield เป็นกันชนน่าจะได้เปรียบกลุ่มฯ         

หากกำไร 1Q67 เป็นไปตามคาด จะมีสัดส่วนราว 21% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี 2567 แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 67 – 68 และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 22.70 บาท(อิง PER 28.7 เท่า) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) คาดกำไรโตดีขึ้นใน 2Q67 ที่เป็นฤดูร้อนผลักดันยอดขายสินค้าเครื่องดื่ม และคาดกำไรสูงสุดใน 4Q67 จากผลของฤดูกาลและกระเป๋าเงินดิจิทัล 2) ราคาหุ้นปรับลง 5% ytd ขณะที่คู่แข่ง (SAPPEและTKN) ที่มีคาดการณ์กำไรโตใกล้เคียงกันหรือต่ำกว่า มีราคาปรับขึ้น

คงประมาณการ และ FV ที่ 23.00 บาท แต่ปรับเพิ่มเป็น Outperform จากการดำเนินงาน 1Q67 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี ก่อนฟื้น 2Q67 และเร่งตัวขึ้นสู่ระดับที่ทำกำไรอย่างชัดเจนใน 2H67 ภายใต้คาดธุรกิจสุกรในไทยพลิกฟื้น หนุนจากดีมานด์ที่ดีขึ้น และอุปทานลดลง หลังมีการตัดวงจรผลผลิต คาดส่งผลบวกต่อทิศทางราคา และทำให้ธุรกิจสุกรในไทยมีกำไรในช่วงครึ่งหลังของปี

แม้การปรับเพิ่มของ NPL มีโอกาสเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาหุ้น  อย่างไรก็ดีราคาหุ้น YTD ปรับฐานราว 8% VS SET ลบ 4% ทำให้ PBV ซื้อขาย 0.49 เท่า, PER ที่ 6.4 เท่า และ Div Yield ราว 5% ต่อปี จึงประเมิน Downside ของราคาหุ้นเหลือไม่มากแล้ว ขณะที่การเติบโตของสินเชื่อจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ น่าจะเป็นแรงส่งต่อราคาหุ้นระยะถัดไป คงคำแนะนำ Outperform  

การปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ถือเป็นจุดเด่นที่ทำให้ DCC รับมือกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้ดี สิ่งที่จะเห็นจากนี้ไปคือการปรับภาพลักษณ์สินค้าให้ดูพรีเมียมขึ้น แม้จะส่งกระทบต่อการจ่ายเงินปันผลบ้าง แต่จะส่งผลดีในระยะยาว คงน้ำหนักการลงทุน Neutral ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DDM ได้ที่ 2.14 บาท 

ลงทุนเท่าตลาดสำหรับกลุ่มฯ เลือกหุ้นเด่นที่มีความเสี่ยงน้อย, มีพอร์ตสินค้าหลากหลาย และได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ, การเงินแข็งแรง และปันผลเกิน 6% ต่อปี ได้แก่ AP (FV@16.00) และ SPALI (FV@B27.30)

ด้วยปัจจัยบวกเลือนลาง ทั้งวัฎจักรดอกเบี้ยสูง ที่มีโอกาสลากยาวออกไป ตามท่าที กนง. รอบล่าสุด อีกทั้งการขยายตัวของสินเชื่อเริ่มแผ่วเบา (งวดล่าสุดบวกเพียง 0.2% QoQ) กดดันทิศทาง NII รวมถึงคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอ ภาพรวมคาดราคาหุ้นยากที่จะเคลื่อนไหวชนะตลาดหลัง XD (24 เม.ย. 67) 

การฟื้นตัวของผลประกอบการเกิดขึ้นอย่างช้าๆ บนความคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกกำลังผ่านจุดต่ำสุด ขณะที่อุปทานใหม่ของปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ที่จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ จะทำให้ธุรกิจปิโตรเคมีของ SCC พลิกกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งช่วงครึ่งปีหลัง ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral  

ทิศทางผลการดำเนินงานปีนี้ขยายตัวได้ต่อเนื่อง คาดหวังการฟื้นตัวของกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติหนุนรายได้จากการรักษาโรคซับซ้อน และเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้ป่วยจากการเปิดโรงพยาบาลใหม่ ประเมินราคาเหมาะสมที่ 31.50 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน OUTPERFORM

แม้ผลประกอบการ 1Q67 น่าผิดหวัง แต่เชื่อว่านักลงทุนจะให้น้ำหนักกับผลประกอบการในอนาคตของ TASCO ที่จะดีขึ้นตามลำดับ หลังงบประมาณแผ่นดินปี 2567 เริ่มเบิกจ่ายเดือน พ.ค นี้  ให้น้ำหนักการลงทุน  Neutral ประเมิน Fair Value อิง Historical PBV ได้ที่ 22.00 บาท 

แม้ยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับดีลการซื้อหุ้น Fajar ช่วงกลางปีนี้ ที่จะทำให้ SCGP มีภาระดอกเบี้ยจ่ายมากขึ้น แต่ทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกที่จะกลับมาเติบโตได้อย่างโดดเด่น ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงนับจากต้นปีกว่า 17% น่าจะเป็นการสะท้อนความกังวลดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว จึงปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจาก Neutral เป็น Outperform ประเมินราคาเหมาะสมที่ 45.00 บาท

หากกำไร 1Q67 เป็นไปตามคาด จะมีสัดส่วนราว 24% ของคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2567 เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี  2567 ไว้ที่ 1.06 หมื่นล้านบาท (+23% YoY) และราคาเป้าหมายที่ 37.00 บาท (อิง PER 36.9 เท่า) รวมทั้งคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 1Q67 ที่ยังโตดี YoY, 2) กำไรโดยรวมทั้งปี 2567 โตดีกว่าค่ามัธยฐานกลุ่ม และ 3) ราคายัง Laggard โดยช่วง 20 วันก่อน ปรับลงถึง 6% ขณะที่หุ้นในกลุ่มลดลงเฉลี่ย 3.6% 

หากกำไร 1Q67 เป็นไปดังคาด จะทำให้มีสัดส่วนราว 22% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี 2567 แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 2567 - 2568 ไว้ตามเดิม และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 81 บาท (อิง PER 33.4 เท่า) โดยคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 1Q67 ที่ออกมาโตดี YoY, 2) มีปัจจัยหนุนต่อใน 2Q67 จากเทศกาลสงกรานต์และวันหยุดยาว ในเดือน เม.ย 67 และ 3) ราคาหุ้นปรับลง 1.3% ในช่วง 20 วันก่อนหน้า ขณะที่หุ้นกลุ่มพาณิชย์ปรับขึ้น 1.3%

ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 180 บาทต่อหุ้น ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบตั้งแต่ปี 2567 ที่ 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล ถือเป็นหุ้นที่มีความแข็งแรงของกำไรในรายไตรมาส และรายปี โดยมีปริมาณขายตามโครงการในมือทยอยรับรู้จากนี้ ขณะที่ราคาขายอิงหลักความระมัดระวัง ดังนั้นหากสูงกว่าสมมติฐานจะถือเป็น upside คงแนะนำในลักษณะ trading ตามราคาน้ำมัน พร้อมรับปันผลสูง

คงแนะนำ Outperform ด้วย Fair Value ที่ 4.80 บาท (อิง PER 8 เท่า) จากทิศทาง 1Q67 ที่ยังเห็นการเติบโต YoY ทั้งยอดขาย, ยอดโอนฯ และกำไร ขณะที่กำไรมีแนวโน้มสูงขึ้นในไตรมาสถัด  ๆ ไป และพีคสุดใน 4Q67 โดยมีแรงหนุนจากส่งมอบ 2 คอนโดฯ ใหม่ ด้านราคาหุ้นยังมีแรงพยุงจากเงินปันผล 2H66 หุ้นละ 0.16 บาท คิดเป็น Div Yield 4.2% ขึ้น XD วันที่ 2 พ.ค. 2567

หากไม่รวมรายการพิเศษ คาดกำไรปกติ 1Q67 ที่ 3.0 พันล้านบาท (+13% QoQ, +13% YoY) หรือคิดเป็น 25% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี ทำให้เราคงประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ไว้ตามเดิม คงราคาเป้าหมายไว้ที่ 86.50 บาท (NAV ที่อิง TP ADVANC ที่ 252 บาท) แต่ปรับคำแนะนำจากเดิม “Neutral” เป็น “Outperform” เพราะ1) มีปัจจัยบวกจากกำไร 1Q67 ที่คาดจะออกมาดี และยังดูสดใสในช่วงที่เหลือของปี และ 2) คาดหวังผลตอบแทนจากปันผลปี 2567-68 ที่จูงใจราว 4.9% - 5.5%

ภายใต้การเติบโตของกำไรกลุ่มฯ ค่อนข้างจำกัด ตามภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ยังขาดพัฒนาการบวกที่เด่นชัด อีกทั้งยังขาดแรงขับเคลื่อนจาก Fund flow ต่างชาติ แต่หุ้นในกลุ่มฯ มีการปรับฐานจน PBV กลุ่มฯ ซื้อขายที่ 0.8 เท่า และแต่ละ ธ.พ. ให้ Div yiled สูงเกิน 5% ถือว่า Valuation น่าสนใจ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนกลุ่มฯ เน้น ธ.พ. ที่ให้ Div yield สูงเกิน 6% ต่อปี อย่าง TTB (FV@B1.98) และหุ้นที่ปรับฐานลึกอย่าง BBL (FV@B175) และ KBANK (FV@B145) คาด Downside ไม่ลึกมาก พร้อมประเมินว่าทั้ง 2 ธ.พ. ให้ Div yield ราว 5% ต่อปี                 

แนวโน้มการเติบโตในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าจะมาจากการขยายฐานผู้ป่วยตะวันออกกลาง และการยกระดับศูนย์การแพทย์เฉพาะทางเพื่อรองรับผู้ป่วยโรคซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงศูนย์การแพทย์ใหม่ (อาคาร B) สามารถสร้างรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยใหม่ที่เน้นการใส่ใจสุขภาพ ฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรในปี 2567-2572 จะเติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปี ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 22.10 บาท/หุ้น ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform

เรากลับมาศึกษา iCHI โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 20.1 บาท (อิง  PEr 20.84 เท่า –1.0 SD) แนะนำ “Outperform” เพราะ 1) คาดได้ผลบวกจากฤดูกาล ที่ปีนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่หน้าร้อนเร็วกว่าปกติ 2) คาดกำไรสุทธิปี 2567-2568 ยังโตดีเป็น 1.3 พันล้านบาท – 1.4 พันล้านบาท หรือโตเฉลี่ย 13.0% และ 3) คาดหวังเงินปันผลปี 2567-2568 ที่จูงใจในอัตรา 5.8% - 6.5% ตามลำดับ

การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ในปีที่ผ่านมา และการดำเนินการตามแผนลดต้นทุนทั้งองค์กรที่จะเห็นผลชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในการรองรับความผันผวนทางธุรกิจในอนาคต ประเมิน FAIR VALUE อิง PER 17 เท่า จะได้ราคาเหมาะสม 172 บาท บวกกับ Yield ที่สูงถึง 5.7% ให้น้ำหนัก Outperform

หากการดำเนินงานใน 1Q67 เป็นไปอย่างคาด แม้มีสัดส่วนเพียง 17% ของคาดการณ์ขาดทุนปกติทั้งของเรา แต่การดำเนินงาน 2Q67 มีแนวโน้มจะชะลอลง เราจึงยังคงประมาณการไว้ตามเดิม และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ไว้ที่ 8.50 บาท และคงคำแนะนำ “Neutral” เพราะ 1) ระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่หนุน เพราะงวด 1Q67 ผลประกอบการดูดีขึ้น แต่ยังขาดทุน และ 2) มีความเสี่ยงที่จะมีรายการพิเศษเชิงลบเข้ามาใน 1Q67 เช่น ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และด้อยค่าสินทรัพย์

ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน ปัญหาหลักอยู่ที่การบริหารจัดการภายในทั้งเรื่องอัตรากำไรและรายการพิเศษต่างๆซึ่งคาดการณ์ได้ยาก รวมถึงความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่องและอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่สูงมากที่นำไปสู่การไม่แสดงความเห็นของผู้สอบบัญชี ลดน้ำหนักลงทุนเป็น Underperform 

เพิ่มป็น Outperform ภายใต้ FV 19.00 บาท จาก 1) กำไรปกติ 1Q67 ที่จะต่ำสุดของปี ก่อนโตสูง QoQ ใน 2Q67 2) ราคาหุ้นมี Upside 31% และ PER ซื้อขาย 11 เท่า พร้อมคาด Div Yield เฉลี่ย 4.8% ต่อปี และ 3) ราคามี Downside จำกัด จากการซื้อหุ้นคืนตั้งแต่ 20 ก.พ.-30 มิ.ย 2567 ล่าสุดซื้อคืน 85.7 ล้านหุ้น (ทั้งหมดไม่เกิน 200 ล้านหุ้น) รวม 1.235 พันล้านบาท (ราคาเฉลี่ย 14.40 บาท/หุ้น)

หากกำไรสุทธิงวด 1Q67 เป็นดังคาด จะมีสัดส่วนราว 25% ของคาดการณ์ทั้งปี ทำให้เราคงประมาณการกำไรปี 2567 ไว้ที่ 3.0 หมื่นล้านบาท (+4% YoY) และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 252 บาท แต่ปรับคำแนะนำขึ้นจากเดิม “Neutral” เป็น “Outperform” จาก 1) กำไร 1Q67 ที่คาดจะออกมาดี โตได้ทั้ง QoQ และ YoY, 2) แนวโน้มช่วงที่เหลือของปี ดูสดใสขึ้นต่อ และ 3) ราคาหุ้นซื้อขายที่ PER ปี 2567 ที่ 20 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER 3 ปีก่อนที่ 22.2 เท่า แต่กำไรโตเฉลี่ยเพียง 2% 

คงคาดกำไรปกติปี 2567 กลับมาเติบโต 24% อยู่ที่ 2.88 พันล้านบาท โดยประเมิน 2Q67 ยังเติบโต QoQ และ YoY จากคำสั่งซื้อเพิ่มต่อเนื่อง, การนำเสนอสินค้าใหม่รวมถึงกำลังการผลิตโรงงานใหม่ที่จะเริ่มเข้ามา แม้จะต้องรับรู้ค่าเสื่อมราคาเพิ่ม แต่คาดชดเชยได้กับการคุมค่าใช้จ่ายและต้นทุนปลาทูน่าที่ลดลง ฝ่ายวิจัยจึงคงแนะนำ Outperform ที่ FV 23.00 บาท คาดหมาย Div Yield เฉลี่ย 3.2% ต่อปี

คาดการณ์การเติบโตรายได้ปี 2567 ของเราซึ่งอยู่ที่ 11% ยังสอดคล้องกับเป้าของบริษัท จึงคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 250 ล้านบาท (+47% YoY) และคงราคาเป้าหมาย 6.60 บาท (อิง PER 16.4 เท่า) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) คาดกำไร 1Q67 ดีขึ้นทั้ง QoQ และ YoY, 2) ภาพรวมกำไรปี 2567 น่าจะกลับมาโตได้อีกครั้ง และ 3) ราคาหุ้นซื้อขายด้วย PER ปี 67 ที่ 10.3 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มพาณิชย์และ COM7 ซึ่งซื้อขายที่ 22.9 เท่า และ 14.5 เท่า แต่คาด ADVICE มีกำไรที่โตดีกว่า

ด้วยเป้าหมายทางการเงินปี 2567 ไม่หวือหวา สอดคล้องกับสมมติฐานฝ่ายวิจัย  อีกทั้งคุณภาพสินทรัพย์ยังต้องติดตามความต่อเนื่อง จึงคงคำแนะนำ Neutral      

แม้ระยะสั้นยังไม่เห็น Catalyst ใหม่เข้ามาเป็นปัจจัยขับเคลื่อนอย่างมีนัยฯ แต่การปรับลงของราคาหุ้น ทำให้มีความน่าสนใจในเชิง Valuation และการขึ้น XD เงินปันผลล่าสุดที่ให้ Yield เฉลี่ยกว่า 3-8% ที่จะเกิดขึ้นปลาย เม.ย-ต้น พ.ค. 2567 คาดช่วยจำกัด Downside ของราคาหุ้นได้บ้าง จึงคงแนะนำ Neutral สำหรับกลุ่มฯ โดยเลือกหุ้นที่มีความเสี่ยงน้อย มีพอร์ตสินค้าหลากหลาย, ฐานะการเงินแข็งแรง, มีการเติบโตของกำไรปีนี้ และปันผลสูงเกิน 6% คือ AP และ SPALI

ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2567 อิง PER 14.8 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 27.30 บาท มี upside 15.7% และมี dividend yield 3.1% ให้คำแนะนำที่ outperform

ด้วยการเติบโตจำกัดตาม GDP และวัฎจักรดอกเบี้ยขาลงกำลังคืบคลานเข้ามา ประกอบกับเศรษฐกิจไทยยังขาดพัฒนาการเชิงบวกที่ชัดเจน ทำให้แรงขับจาก Fund flow เลือนลาง แต่มองว่า PBV กลุ่มซื้อขายไม่แพง เฉลี่ยที่ 0.8 เท่า รวมทั้งคาดให้ Div yield 5% ขึ้น ประเมินช่วย Limit Downside ของหุ้นข้างต้น โดยเลือก TTB (FV@B1.98) เป็น Top pick กลุ่มฯ จากแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2567 เติบโตเด่นสุดในกลุ่มฯ พร้อมคาด Div yield สูงราว 6% ต่อปี รวมทั้งลุ้น Sentiment บวกระยะสั้นจากกระแสงาน Motor show                                       

ภาคท่องเที่ยวไทยมีทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตในระยะยาว เลือก AOT รับอานิสงค์การเติบโตของภาคการท่องเที่ยวไทยมากสุดในกลุ่มฯ ส่วนกลุ่มโรงแรมมอง MINT เชิง Upside ตึงตัว หลังตลาดเก็งธีมดอกเบี้ยขาลงใน EU และ Event กีฬาใหญ่ใน EU พอสมควร จึงมอง CENTEL และ ERW ที่ราคาหุ้น YTD Underperformed กลุ่มฯ สะท้อนการเปิดโรงแรมใหม่ในญี่ปุ่นพอสมควรแล้ว ช่วงสั้นเริ่มน่าสนใจกว่าเชิงกลยุทธ์  

ผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้อย่างน่าประทับใจ สนับสนุนจากการฟื้นตัวของกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติ และแนวโน้มจำนวนผู้ประกันตนเพิ่มขึ้นจากการได้รับจำนวนโควต้าในระดับสูง รวมถึงผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลใหม่อาจสร้างผลกำไรได้สำหรับบางแห่ง ประเมินราคาเหมาะที่ 23.20 บาท อิงวิธี DCF    อย่าไรก็ตามราคาปัจจุบันมี Upside ต่ำ จึงให้น้ำหนักการลงทุนเพียง Neutral

FV ปี 2567 อยู่ที่ 3.7 บาท/หุ้น ช่วงสั้นยังไม่มีปัจจัยบวกที่โดดเด่นขับเคลื่อนราคาหุ้น อีกทั้งกำไรระยะยาวเริ่มลดลงหลังจาก Adder หมดในปี 2568 จึงคงคำแนะนำ Underperform เน้นหาจังหวะ switch ไปหุ้นโรงไฟฟ้าที่เห็นการเติบโตได้ในระยะยาวจะมี upside มากกว่า

ด้วยราคาหุ้น YTD Outperformed SET Index สะท้อนเงินปันผลงวด 2H66 แล้ว ประกอบกับ Upside เริ่มจำกัด จึงมองราคาหุ้นขาดปัจจัยขับเคลื่อนทางบวก ลดคำแนะนำจาก Outperform เป็น Neutral โดยหากนักลงทุนยังชอบ TISCO เพราะ Div yield สูง แนะนำรอหลัง XD หรือหากเล่นตามธีมวัฎจักรดอกเบี้ยขาลงมอง Non – Bank (MTC > TIDLOR) น่าสนใจกว่า 

ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าพื้นฐานของ SJWD โดยใช้วิธี DCF (กำหนดสมมติฐาน WACC ที่ 6.6% และ Terminal growth rate ที่ 3%) ได้ราคาเหมาะสมที่ 18.70 บาท มี upside 13.3% ให้น้ำหนักการลงทุน outperform

พื้นฐานโดยรวมถือว่าแข็งแกร่ง ปัจจุบันมี Backlog เพียงพอรองรับรายได้อีก 3 ปีและมีโอกาสได้รับงานใหม่จากโครงการลงทุนภาครัฐที่จะเห็นมากขึ้นในช่วง 2H67 ส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในปี 2568 เป็นต้นไป ให้น้ำหนักลงทุน Neutral ประเมินมูลค่าเหมาะสมอิง PBV 1 เท่า อยู่ที่ 11.80 บาท 

ปรับปรุงประมาณการกำไรปกติปี 2568 เป็นต้นไป สะท้อนการ COD โครงการในแผนที่ล่าช้า และการรวมโครงการใหม่เข้ามาในประมาณการ ส่งผลให้ FV ใหม่ปี 2567 อยู่ที่ 34 บาท/หุ้น (เดิม 32) ประกอบด้วยมูลค่าโครงการเดิม 31 บาท และโครงการใหม่ 3 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside สูง อีกทั้งภาพใหญ่รายปียังเห็นกำไรทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง YOY มองเป็นจังหวะเข้าทยอยสะสมลงทุนระยะยาว

ผลประกอบการในปี 2567 ยังขยายตัวได้ตามการฟื้นตัวของผู้ป่วยต่างชาติ การขยายฐานลูกค้าประกันและประกันสังคม รวมทั้งการเพิ่มจำนวนเตียงและโรงพยาบาลแห่งใหม่ ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 31.50 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน OUTPERFORM  

เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มพาณิชย์ “มากกว่าตลาด” เนื่องจากคาดกำไรสุทธิของกลุ่มสำหรับปี 2567 ที่ 5.9 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 18% YoY ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์การเติบโตของตลาด โดยเราเลือก BJC และ CRC เป็นหุ้น Top picks เนื่องจาก 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกหนุนจากกำไรใน 1Q67 ที่คาดจะโตเด่น YoY จากปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2) ปัจจุบันราคาหุ้น BJC และ CRC ยังซื้อขายด้วย PER ปี 2567 ที่ 17.8 เท่า และ 21.8 เท่า ตามลำดับ ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 23.8 เท่า

จากกำไรปี 2566 ที่ออกมาเท่ากับคาด ขณะที่เป้าของบริษัทในปี 2567 สูงกว่าคาดการณ์ของเราเล็กน้อย เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี 2567- 68 ไว้ที่ 6.7 พันล้านบาท และ 7.2 พันล้านบาท ตามลำดับ และคงราคาเป้าหมายที่ 14.30 บาท (อิง PER 28.1 เท่า) แต่ปรับคำแนะนำจาก “Underperform” เป็น “Neutral” เพราะ 1) เริ่มดูดีขึ้นจาก SSSG เดือน ก.พ. 67 ที่เริ่มเป็นบวก เทียบกับ -8.5% ใน 4Q66, 2) ระยะถัดไป 2Q67 สินค้าประเภทแอร์ พัดลม ได้ผลบวกจากฤดูร้อน และ 3) ราคาหุ้นซื้อขายด้วย PER ปี 2567 ที่ 21.6 เท่า สะท้อนกำไรที่คาดจะโตต่ำกว่ากลุ่มแล้ว

แนะนำ Outperform มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 เท่ากับ 4.80 บาท น่าสนใจด้วยปันผล 2H66 หุ้นละ 0.16 บาท หรือ 4.8% และ PER ซื้อขาย 5.5 เท่า ขณะที่การมีจุดแข็งในเรื่องแบรนด์, การดีไซน์, บริการหลังการขาย และพอร์ตสินค้าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มบน ทำให้มีความได้เปรียบและเสี่ยงน้อยกว่ากลุ่มอื่น นอกจากนี้การลงทุน ENGINE 2 คาดช่วยสร้างการเติบโตมากขึ้น หรือเป็น New S-Curve ระยะถัดไป 

ลักษณะธุรกิจที่มีความมั่นคงของรายได้สูง พร้อมโอกาสการขยายสัมปทานเดิมและรับสัมปทานใหม่ที่จะต่อยอดการเติบโตไปได้อีกหลายปี โดยมีโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นเกราะป้องกันราคาหุ้นในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF อยู่ที่ 11.00 บาท  

แม้การต่อสัญญาเช่าที่ดินในโครงการปิ่นเกล้า จะทำให้ค่าเสื่อมและดอกเบี้ยทางบัญชีเพิ่ม อาจสร้าง Downside Risk แต่เบื้องต้นคงประมาณการเดิม เชื่อว่าเป้ากำไรปกติปีนี้อนุรักษ์นิยมพอควรที่ 1.56 หมื่นล้านบาท (+4% yoy) แนะนำ outperform FV 83.00 บาท มองถึงประโยชน์ระยะยาวในการต่อสัญญาที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มต่อรายได้และกำไร ขณะที่กำไร 1Q67 คาดยืนได้ไม่น้อยกว่า 4Q66

ผลการดำเนินงานปี 2567 ยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากการขยายศูนย์ส่งต่อผู้ป่วยไปยังตลาดใหม่ ขณะที่การเปิดโรงพยาบาลใหม่ที่ภูเก็ตจะมีความสำคัญการเติบโตระยะถัดไป ฝ่ายวิจัยประเมินผลการดำเนินงานเติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี ในปี 2567-2570 ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 304 บาท อิงวิธี DCF แนะนำ OUTPERFORM

ปรับปรุงประมาณการกำไรปี 2567 เป็นต้นไป สะท้อนการสมมติฐานการ COD ใหม่ และรวมโรงไฟฟ้าขยะชุมชน + solar ฟิลิปปินส์ ไว้ในประมาณการ FV ใหม่ปี 67 อยู่ที่ 8.2 บ./หุ้น (เดิม 7.0) ประกอบด้วยโครงการเดิม 6.9 บ. และโครงการใหม่ 1.3 บ. จ่ายปันผลปี 2566 หุ้นละ 0.1 บ. div yield 1.3%  ภาพระยะยาวเริ่มเห็นกำไรเติบโตอีกครั้ง อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปรับที่ตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา คาดสะท้อนประเด็นบวกจากการซื้อหุ้นคืน และการประกาศเข้าลงทุนโครงการใหม่ๆมาแล้วระดับหนึ่ง แนะนำรอจังหวะทยอยสะสมลงทุนเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวจะปลอดภัยกว่า

แม้ปี 2567 คาดพลิกมีกำไรสุทธิ 5.2 พันล้านาท จากราคาเนื้อสัตว์มีแนวโน้มดีมากขึ้นตั้งแต่กลางปีเป็นต้นไป จาก supply ที่เริ่มน้อยลง, ประโยชน์จากวัตถุดิบอ่อนตัว ตลอดจนการดำเนินงานต่างประเทศดีขึ้น หลังขายธุรกิจที่ไม่ทำกำไรออกไป แต่ระยะสั้นที่ยังไม่เห็นปัจจัยบวกหลังหมดตรุษจีน และแนวโน้ม 1Q67 คาดมีโอกาสขาดทุน จึงคงแนะนำ Neutral ที่ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 23.00 บาท

แม้ราคาหุ้นเมื่อวันศุกร์ร่วงลงแรงราว 10% สะท้อนงบ 4Q66 น่าผิดหวัง แต่ภาพการดำเนินงาน 1Q67 ที่ยังไม่เด่น คาดกำไรปกติลดลง YoY (แต่ฟื้นตัวสูงจากฐานต่ำผิดปกติใน 4Q66) ขณะที่แผนธุรกิจปีนี้เข้าสู่ภาวะผ่อนคันเร่ง เปิดโครงการใหม่ลดลง เน้นเคลียร์สต๊อก ชะลอลงทุน เพื่อบริหารสภาพคล่อง หลัง Net GEaring เริ่มสูงขึ้น ทำให้ยังขาดปัจจัยใหม่ที่จะเป็นผลบวกต่อราคาหุ้น จึงลดคำแนะนำเป็น Underperform ช่วงสั้น จนกว่าจะเห็นปัจจัยบวกใหม่เข้ามาเพิ่มเติม

อิง GGM ปรับลด PBV จาก 2.1 เท่า เหลือ 1.9 เท่า สะท้อนการปรับลด Dividend payout ratio ปี 2567 - 69 หลังปี 2566 จ่ายต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ ROE ระยะยาวต่ำลง ได้ FV ใหม่ปี 2567 ที่ 42.5 บาท (เดิม 48 บาท) เทียบเท่า PER 12 เท่า แม้หุ้นซื้อขายที่ PER ราว 10.4 เท่า ถือว่าไม่แพง แต่คุณภาพสินทรัพย์พอร์ตเช่าซื้อดูมีความเสี่ยง แนะนำ Neutral มองว่าในกลุ่มฯ MTC > TIDLOR น่าสนใจกว่า 

ภายหลังปรับลดประมาณการ อิง DCF ให้ FV ปี 2567 ที่ 46 บาท (เดิม 48 บาท) ราคาหุ้นซื้อขายบน PER ที่ 41 เท่า สูงกว่า ERW และ CENTEL ในทางตรงข้าม ROE ต่ำสุดในกลุ่มฯ ทำให้ฝ่ายวิจัยมองว่าทิศทางการเติบโตของกำไรปี 2567 - 68ถูกสะท้อนบนราคาหุ้นแล้ว จึงคงแนะนำ Neutral และชอบน้อยสุดในกลุ่มฯ โดยกลุ่มฯเรียงลำดับตามความชอบดังนี้ AOT เพราะ ROE สูงสุดในกลุ่มฯ > MINT กระแสบอลยูโรและโอลิมปิกใน EU ช่วงปลาย 2Q67 > ERW > CENTEL 

หลังจบคดีพิพาท Rocksalt ได้รับเงิน 1.05 พันล้านบาท เพิ่มความแข็งแกร่งด้านการเงินให้ TTCL พร้อมเดินหน้าธุรกิจต่อเนื่อง ด้วย Backlog เกือบ 2 หมื่นล้านบาท และมีโอกาสคว้างานเพิ่มได้อีก 3.0 พันล้านบาท ภายใน 1H67 ให้น้ำหนัก Outperform ประเมินราคาเหมาะสมอิง Historical PBV 1.2 เท่า ที่ 6.50 บาท 

เข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลตอบแทนของโรงพยาบาลใหม่ทั้ง 3 แห่ง ที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นต่อเนื่อง และได้รับจำนวนโควต้าประกันสังคมสูงกว่าช่วงที่ผ่านมา ประเมินราคาเหมาะอยู่ที่ 23.20 บาท อิงวิธี DCF อย่างไรก็ตามราคาปัจจุบันมี Upside ต่ำ ให้น้ำหนักการลงทุนเพียงแค่ Neutral

แนวโน้มกำไรปี 2567 น่าจะเพิ่มขึ้นแพราะไม่มีค่าใช้จ่าย Entire Business Transfer จำนวน 145.3 ล้านบาทเหมือนในปี 2566 พร้อมกับมีแผนการเติบโต 3 เรื่อง ได้แก่ การเข้าซื้อหุ้น SCG Inter Vietnam ที่ให้บริการโครงการ Long Son Petrochemicals, เข้าซื้อการการ (M&A) 1-2 ดีล ในช่วง 2H67 และการจัดตั้งกอง reit มูลค่า  3,000 – 5,000 ล้านบาท  ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ SJWD โดยใช้วิธี DCF ได้ราคาเหมาะสม 18.70 บาท มี UPSIDE 23.8%

ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่หนุนเรื่องการย้ายฐานการผลิตจากต่างชาติให้เข้ามาประเทศไทยต่อเนื่อง รวมถึงทิศทางธุรกิจที่ยังคงเติบโต ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสม โดยอิง Historical PER 10 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 20 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 5.95 บาท มี upside 29.3% มี Div. YIELD 4.22% ให้คำแนะนำเป็น Outperform

ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง รองรับจาก Backlog ที่มีกว่า 1.3 แสนล้านบาท และยังมีโอกาสรับงานเพิ่มอีกมากจากโครงการลงทุนของ BEM เป็นหลักประกันรายได้ที่มั่นคงไม่ต่ำกว่า 5 ปี รวมถึงส่วนแบ่งกำไรที่เติบโตขึ้นตามผลประกอบการของ BEM และ CKP  ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสม 28.00 บาท  

ปรับประมาณการกำไรปี 2567 ลง 5% สะท้อนดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น แม้การฟื้นตัวของผลการดำเนินงานปกติช่วงครึ่งปีแรกยังคาดหวังอะไรไม่ได้มาก แต่พื้นฐานโดยรวมของ STEC ถือว่าแข็งแกร่ง รวมถึงโอกาสการเติบโตในระยะยาวหลังปรับโครงสร้างเป็นบริษัทโฮลดิ้ง แนะนำ Neutral ประเมินมูลค่าเหมาะสม 11.80 บาท 

แนะนำ OUTPERFORM ด้วย FV 83.00 บาท จากทิศทางกำไร 1Q67 มีโอกาสเติบโต YoY และ QoQ จากมาตรการ Easy e-receipt, เปิดศูนย์การค้าใหม่ที่นครสวรรค์ และ peak season ท่องเที่ยว รวมถึงค่าใช้จ่ายขายบริหารไม่สูงเหมือนงวดก่อน นอกจากนี้ CPN จ่ายปันผลรอบปี 2566 ที่ 1.80 บาท เทียบเท่า Yield  2.8% และคิดเป็น Payout Ratio สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 53.6% 

ปรับลดประมาณการปี 2567-68 เพื่อสะท้อนโครงการหยุนหลิน และสมมติฐานต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดปัจจุบันที่มีความผันผวนสูง ภายใต้หลักความระมัดระวัง โดยมูลค่าพื้นฐานปี 2567 อยู่ที่ 150 บาทต่อหุ้น คาดราคาหุ้นจะถูกกดดันจากความกังวลด้อยค่าสินทรัพย์ ดังนั้นให้น้ำหนักเพียงแค่ปันผลที่จ่ายสม่ำเสมอ ปีละ 2 ครั้ง 2H66 จ่ายหุ้นละ 3.25 บาท ทั้งปี 6.5 บาท 

กำไรโดยรวมทั้งปี 2566 ออกมาที่ 8.0 ล้านบาท (+12% YoY) ใกล้กับที่เราคาด เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ไว้ที่ 9.9 – 11.5 พันล้านบาท และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 48.00 บาท (อิง PER ที่ 29.3 เท่า) คงคำแนะนำ “Outperform” สำหรับ CRC เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 4Q66 ที่ออกมาดี QoQ, 2) 1Q67 ได้ประโยชน์ Easy E-receipt และ 3) ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER 25 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มพาณิชย์ที่ 27.3 เท่า

ด้วยดอกเบี้ยช่วง 2H66 ที่สูงกว่าช่วง 1H66 อย่างมีนัยสำคัญ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากในปี 2567 ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 จากเดิม 2,317 ล้านบาท เหลือ 2,119 ล้านบาท แต่ด้วยฝ่าย sentiment อุตสาหกรรมนิคมฯ โดยรวมที่ยังดีต่อเนื่อง สะท้อนจากการลงทุนจากต่างประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนและมูลค่าโครงการ ประเมินมูลค่าเหมาะสม อิง PER 14.8 เท่า ได้ FV 27.30 บาท มี upside 23.5% ให้คำแนะนำที่ outperform

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 3.6 บาท/หุ้น งดจ่ายปันผลงวด 4Q66 เพื่อเตรียมเงินเข้าลงทุนในโครงการใหม่ๆ (งวด 9M66 จ่ายหุ้นละ 0.06 บาท)ทั้งนี้คาดภาพการลงทุนยังเห็นทิศทางกำไรช่วง 1-2 ปีข้างหน้ายังคงแข็งแรง รอรับรู้โครงการใหม่ๆที่จะเข้ามาช่วยหนุนการเติบโตของกำไรได้ระยะยาว 

แม้ปรับลดกำไรสุทธิปี 2567 – 68 เฉลี่ย 7% สะท้อนกำไรสุทธิปี 2566 ต่ำกว่าคาดราว 6% แต่คาดกำไรปี 2567 – 68 ยังขยายตัวเฉลี่ย 19% ตามการเติบโตของสินเชื่อและ Cost to income ratio รายปีมีทิศทางลดลงต่อเนื่อง ในการประเมินมูลค่าหุ้นมีการปรับลดสมมติฐาน Risk free rate ทำให้ PBV อยู่ที่ 2.3 เท่า (เดิม 2 เท่า) ได้ FV ใหม่หลังรวมหุ้นปันผลอัตรา 27 : 1 (XD 24 เม.ย. 66) ที่ 26 บาท (เดิม 24.5) คงแนะนำ Outperform รับโอกาสในการเข้าสู่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลง โดยชอบเป็นอันดับ 2 รองจาก MTC ที่มีสัญญาณการคุม NPL ได้ดีกว่า                               

ปี 2567 คาดกำไรปกติฟื้นตัว 26% เป็น 7.3 พันล้านบาท (ยังไม่รวมแผนขาย Terminal 21 พัทยา) จากอสังหาฯ เพื่อขายมีแผนเปิด 11 โครงการ เป็นแนวราบทั้งหมด เน้นกลุ่มระดับบน,  โรงแรมและศูนย์การค้า ขยายตัวตามภาคท่องเที่ยว และรับรู้รายได้เต็มปีของ 1 โรงแรมใหม่ที่เปิดปีก่อน แนะนำ Outperform FV 10.00 บาทและรับเงินปันผล 2H66 หุ้นละ 0.30 บาท (หรือ 4%) XD 3 พ.ค. 2567

การเติบโตของธุรกิจยังมีต่อเนื่อง ทั้งที่มาจากฐานธุรกิจเดิมที่เติบโตขึ้นตามจำนวนผู้ใช้บริการ และโอกาสคว้างานใหม่จากสัญญาเดินรถไฟฟ้าสายสีส้มและสายสีม่วงใต้ รวมถึงโครงการทางด่วนชั้นที่ 2 ที่จะมีความชัดเจนในปีนี้ ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF อยู่ที่ 11.00 บาท  

ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการ 2567-68 สะท้อนสมมติฐานต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดปัจจุบันที่มีความผันผวนสูง ภายใต้หลักความระมัดระวัง มูลค่าพื้นฐานปี 2567 อยู่ที่ 36 บาท/หุ้น โดยความเสี่ยงช่วงสั้นของ RATCH จะอยู่ที่ดีลการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าถ่านหิน Paiton ที่ยังไม่เสร็จ ทำให้ไม่สามารถรับรู้กำไรมาได้ ขณะที่ต้นทุนการกู้ยืม และ dilution จากการเพิ่มทุนเกิดขึ้นก่อนหน้าไปแล้ว จึงถือเป็นความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม ทั้งนี้หากนักลงทุนมีหุ้นอยู่สามารถถือรับปันผล 2H66 หุ้นละ 0.8 บาท (ทั้งปี 1.6 บาท) ได้ 

จากภาพกำไรปกติปี 2567 ที่ไม่ตื่นเต้น คาดลดลง 6% จากฐานสูงปีก่อน กอปรกับกำไร 1Q67 ยังไม่เด่น โดยคาดใกล้เคียงงวดปีก่อน แต่ลดลง QoQ ตามการอ่อนตัวของยอดโอนฯ ทำให้ราคาหุ้นขาดปัจจัยบวกระยะสั้น จึงปรับลดคำแนะนำเป็น Neutral มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 2.20 บาท (อิง PER 8 เท่า) และรับปันผล 2H66 หุ้นละ 0.10 บาท (หรือ 5.4%) XD 20 พ.ค. 2567

โดยรวมทั้งปี 2566 มีกำไร 6.4 พันล้านบาท (+4% YoY) ใกล้กับที่เราคาด ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรปี 2567 – 2658 ไว้ตามเดิมที่ 6.7 – 7.2 พันล้านบาท รวมทั้งคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 14.30 บาท (อิง PER 28.1 เท่า, -1.0 S.D) และคงคำแนะนำ “Underperform” ราคายังมี upside แม้เชื่อว่าราคาหุ้นในระยะสั้นยังมีปัจจัยกดดันจากกำไร 4Q66 ที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด 

การควบรวมอุตสาหกรรมสื่อนอกบ้านเข้ามาไว้ในมือเกือบทั้งหมด ส่งผลให้ PLANB เป็นผู้นำตัวจริงในธุรกิจนี้ พร้อมเดินหน้าเก็บเกี่ยวผลตอบแทนการลงทุนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าโฆษณาที่จะส่งผลโดยตรงต่ออัตรากำไร  ส่วนธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วมยังเติบโตต่อเนื่องหลังได้ลิขสิทธิ์ปารีสโอลิมปิก  ประเมิน Fair value ด้วยวิธี DCF ได้ที่ 10.60 บาท  แนะนำ Outperform 

กำไรปกติ 4Q66 ที่แข็งแกร่ง และการประกาศจ่ายเงินปันผล 2H66 หุ้นละ 0.16 บาทคิดเป็น Div Yield จูงใจ 4.7% ขึ้น XD วันที่ 2 พ.ค. 2567 และคาดทั้งปี 2567 ยังยืนสูงเฉลี่ย 7% จะเป็นแรงขับเคลื่อนต่อราคาหุ้น หรือ Limit Downside ต่อราคาหุ้นจนกว่าจะขึ้นเครื่องหมาย XD จึงคงแนะนำ Outperform ด้วยมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 เท่ากับ 4.80 บาท  

ปรับลดประมาณการ 2567-68 สะท้อนการปรับลดสมมติฐาน EBITDA/TON และปริมาณขาย ส่งผลให้มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 30 บาทต่อหุ้น (เดิม 34) คาดราคาหุ้นน่าจะมีการปรับฐานอีกระลอกสะท้อนงบ 4Q66 ทำให้เกิดความกังวลว่าจะมีการด้อยค่าสินทรัพย์เพิ่มเติมอีกหรือไม่ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโดดยรวมของโลกที่ยังไม่เห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจน อีกทั้งให้น้ำหนักการฟื้นตัวของกำไรอยู่ในช่วง 2H67 ซึ่งผ่านพ้นช่วงฤดูกาลของ PET ปกติในช่วง 1H67 ไปแล้ว อย่างไรก็ตามประกาศจ่ายปันผล 4Q66 หุ้นละ 0.175 บาท (ทั้งปี 66 รวมจ่าย 0.925 บาท)

ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า TPIPL จะสามารถรักษาฐานกำไรระดับใกล้เคียง 3 พันล้านบาท ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จากโครงการลดต้นทุนที่เริ่มเห็นผล แม้กำไรได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วตั้งแต่ปี 2565 แต่ราคาหุ้นปัจจุบันถือว่ามี Valuation ต่ำมาก วัดจากค่า PER และ PBV แนะนำ Neutral ประเมินราคาเหมาะสมอิง PER 11 เท่า ที่ 1.90 บาท 

เราปรับคาดการณ์กำไรปี 2567 - 2568 ขึ้นเฉลี่ย 8% เป็น 2.2 – 2.4 หมื่นล้านบาท สะท้อนกำไร 2566 ที่ดีกว่าคาด โดยราคาเป้าหมายปี 2567 ปรับขึ้นจาก 77.00 บาท เป็น 81.00 บาท (อิง PER 33.2 เท่า) โดยคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 4Q66 ที่ออกมาดีกว่าคาด, 2) มีปัจจัยหนุนต่อใน 1Q67 จาก Easy E-receipt และเทศกาลตรุษจีน และ 3) ราคาหุ้นปัจจุบันยังซื้อขายที่ PER 31.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 7 ปี ที่ซื้อขายด้วย PER 36.5 เท่า

เพื่อสะท้อนกำไร 4Q66 ที่อ่อนแอ เราจึงปรับลดคาดการณ์กำไรปี 2567 – 68 ลงจากเดิม 6% - 7% เหลือ  250 – 329 ล้านบาท ตามลำดับ ทำให้ราคาเป้าหมายปรับลงจาก 7.05 บาท เหลือ 6.60 บาท (อิง PER ที่ 16.4 เท่า) เราให้แนะนำ “Outperform” สำหรับหุ้น ADVICE เพราะ 1) เชื่อว่าระยะถัดไป (1Q67) กำไรจะสดใสขึ้น โดยเฉพาะยอดขายปลีก ที่จะได้แรงหนุนมาตรการ Easy E-receipt และ 2) ราคาหุ้นซื้อขายด้วย PER 14.5 เท่า (ต่ำกว่าค่ากลุ่มพาณิชย์ซึ่งซื้อขายที่ 28.1 เท่า)

ด้วย demand การซื้อที่ดินที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ WHA ปรับราคาขายที่ดินเพิ่มขึ้นราวๆ 10% ขณะที่ต้นทุนที่ดินยังเป็นราคาเดิม ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อ gross margin ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ฝ่ายวิจัยจึงปรับประมาณการกำไรปี 2567 จากเดิมที่ 3,873 ล้านบาท เป็น 4,468 ล้านบาท ประเมิน Fair Value อิง Historical PER 10 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 20 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 5.95 บาท มี upside 26.6% ให้คำแนะนำเป็น Outperform

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 เป็นต้นไป สะท้อนการรับรู้ดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น ส่งผลให้ FV ใหม่ปี 2567 อยู่ที่ 50 บาท (เดิม 55) ประกาศจ่ายปันผลปี 2566 ที่ 0.3 บาท/หุ้น Div yield  0.8% ช่วงสั้นอาจมีปัจจัยบวกหนุนจากกระแสกระตุ้น EV ชุดใหม่ ขณะที่ภาพระยะยาวเริ่มเห็นกำไรอ่อนตัว จาก Adder ที่ทยอยหมด เน้นเพียงหาจังหวะ Tradidding ช่วงสั้นตามรอบกระแสนโยบาย EV ที่เกิดขึ้นเป็นระลอกๆ

แม้ราคาหุ้นมีโอกาสตอบสนองเชิงบวกจากกำไร 4Q66 ที่ดีกว่าตลาดคาด แต่ด้วยแนวโน้มการเติบโตของกำไร 1Q67 ไม่หวือหวาเมื่อเทียบกับ PER คงแนะนำ Neutral มองว่า AOT ที่คาดกำไรช่วง ม.ค. – มี.ค. 67 มีอัตราการขยายตัวของกำไรเด่นกว่า ตามด้วย MINT ที่ปีนี้มี Event ใหญ่ใน EU อย่าง ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป และโอลิมปิกที่ปารีส น่าสนใจมากกว่าในระยะ 3 – 6 เดือน ข้างหน้า 

จากกำไรปี 2566 ที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ของเราราว 8% บวกกับเศรษฐกิจปี 2567 ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้า ยังกดดันกำลังซื้อ ทำให้เราต้องปรับประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ลงจากเดิม 13% - 16% ส่งผลให้ราคาเป้าหมายปรับลดจาก 33.00 บาท เหลือ 28.75 บาท (คงอิง PER 22.8 เท่า) เพราะระยะสั้นมีปัจจัยกดดันจากกำไร 4Q66 ที่ไม่ได้เป็นจุดพีคเหมือนเคย เราจึงลดคำแนะนำจาก “Outperform” เป็น “Neutral” โดยคาดหวังมาตรการ Easy E-receipt ช่วยหนุนกำไร 1Q67

TRUE ขาดทุนปกติรวมในปี 2566 ที่ 7.5 พันล้านบาท ใกล้กับคาดการณ์ของเรา จึงยังคงประมาณการสำหรับปี 2567 – 2568 ไว้ตามเดิม และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ไว้ที่ 8.50 บาท ซึ่งแม้จะมี upside สูง แต่เราคงคำแนะนำ “Neutral” เพราะ 1) ยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ในระยะสั้น แม้งวด 4Q66 ผลประกอบการดูดีขึ้น แต่ยังขาดทุน และ 2) คาดภาพการดำเนินงานใน 1-2 ปีข้างหน้า จะยังคงขาดทุนต่อ

ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 46 บาทต่อหุ้น ยังให้น้ำหนักการลงทุนด้านพื้นฐานในลักษณะ trading สะสมขณะที่หุ้นย่อตัว เพราะเชื่อว่าจะเห็นจังหวะการดีดตัวของราคาหุ้นได้เป็นระลอกๆตามทิศทางค่าการกลั่น แต่ทั้งนี้ช่วงสั้นมีปัจจัยบวกเรื่องปันผล 2H66 หุ้นละ 1.5 บาท คิดเป็น Div Yield งวดครึ่งปีที่ 3.4% 

ธุรกิจโรงภาพยนตร์ยังอยู่รอดได้หากยังมีหนังดีเข้าฉาย และด้วยกระแสความนิยมหนังไทยที่กลับมา บวกกับจำนวนหนังจากฮอลิวูดที่ไม่น่าจะน้อยกว่าปีก่อน ขณะที่ MAJOR ยังคงเดินหน้าลงทุนเพิ่มจำนวนโรงภาพยนตร์ในต่างจังหวัดต่อเนื่อง และมีแผนการต่อยอดสร้างรายได้และลดต้นทุนเพิ่มเติม ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุน Outperform  ประเมินราคาเหมาะสมได้ที่ 20.00 บาท

เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2567–68 ที่ 5.5 พันล้านบาท (+14% YoY) และ 5.7 พันล้านบาท (+5% YoY) ตามลำดับ และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 35.00 บาท (อิง PER 25.6 เท่า, -1.0 SD) รวมทั้งคงคำแนะนำ “Outperform” จาก 1) กำไร 4Q66 ที่โตแรง QoQ, 2) 1Q67 คาดยอดขายของธุรกิจหลัก (BigC) ได้ประโยชน์จาก Easy E-receipt และเทศกาลตรุษจีน และ 3) ราคาหุ้นยังไม่แพง เมื่อเทียบกับกลุ่ม โดยซื้อขายด้วย PER ราว 21 เท่า ขณะที่หุ้นกลุ่มพาณิชย์ซื้อขายที่ 28 เท่า    

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐาน ปี 2567 ที่ 9.8 บาท/หุ้น ประกาศจ่ายปันผลงวด 2H66 ที่หุ้นละ 0.3 บาท (ทั้งปี 2566 จ่าย 0.6 บาท) คิดเป็น dividend yield 2H66 ที่ 3.0% ราคาหุ้นปัจจุบันเกินมูลค่า รวมถึงฐานกำไรเริ่มปรับลดลงภายใต้สัญญาใหม่ของ PTW ที่คาดจะมีอัตรากำไรลดลงจากสัญญาเดิม ส่งผลให้คาดหวังปันผลเหลือ 4-5%/ปี จึงคงคำแนะนำ underperform 

คงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 10.9 บาท/หุ้น  แม้ไม่มีปันผลในปี 2566 แต่คาดยังมีแรงหนุนช่วงสั้นจากค่าการกลั่นปัจจุบันที่อยู่ในระดับสูง 9-10 เหรียญฯ/BBL  คาดผลประกอบการผ่านพ้นช่วงย่ำแย่ใน 4Q66 จึงเพิ่มคำแนะนำเป็น Neutral เน้นหาจังหวะ trading ช่วงสั้นตามทิศทางค่าการกลั่นที่ปรับตัวสูงเป็นระลอกได้

คงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 10.0 บาท/หุ้น จ่ายปันผล 2H66 ที่หุ้นละ 0.15 บาท (ทั้งปี 2566 จ่าย 0.25) คิดเป็น div.yield 2H66 ที่ 1.9% ให้น้ำหนักไปที่ภาพรายปีเริ่มเห็นกำไรฟื้นตัว YoY แม้ยังไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับฐานเดิมในอดีต จึงให้รอจังหวะลงทุนตามช่วง peak ของผลประกอบการใน 3Q67 จะปลอดภัยกว่า

เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ลงเฉลี่ย 8% YoY สะท้อนกำไรปี 2566 ที่ต่ำคาด โดยได้รวมสินค้าใหม่ (เจเล่ ฟิต) เข้าในประมาณการตั้งแต่ มี.ค. 67 ทำให้ราคาเป้าหมายปรับลดจาก 26.00 บาท เหลือ 22.70 บาท (ปรับลด PER เป็น 28.7 เท่า,-1 SD) แต่คงแนะนำ Outperform” เพราะ 1) แนวโน้มกำไร 1Q67 ดูสดใสขึ้น จากทั้งสินค้าใหม่ในประเทศ ที่ได้รับการตอบรับดี รวมทั้งเป็นไตรมาสแรกที่ตลาดเวียดนามได้ประโยชน์จากสายการผลิต “เบนโตะ” เต็มไตรมาส และ 2) ราคาหุ้นสะท้อนกำไร 4Q66 ที่ออกมาต่ำคาดแล้ว 

อิง PBV ปรับสมมติฐาน Risk free rate ให้สอดคล้องกับพันธบัตรรัฐบาลไทย ณ ปัจจุบัน ให้ PBV ใหม่ที่ 2.9 เท่า (เดิม 2.4 เท่า) ให้ FV ใหม่ปี 2567 ที่ 51 บาท (เดิม 42 บาท) เทียบเท่า PER ราว 19 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังตั้งแต่ปี 2561 ที่ 24 เท่า ราว 1 SD ปรับคำแนะนำจาก Neutral เป็น Outperform เพราะคุณภาพสินทรัพย์มีทิศทางดีขึ้น ประกอบกับวัฎจักรดอกเบี้ยขาลงในไทยที่มีโอกาสเกิดขึ้นช่วง 2H67 คาดเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นระยะ 1 ปีข้างหน้า 

คงคาดกำไรปี 2567 ยกฐานสู่ New Record ใหม่ที่ 6.28 พันล้านบาท (+4% yoy) หนุนจากทั้งแนวราบที่มี Backlog รอส่งมอบปีนี้ 1.59 หมื่นล้านบาท รวมถึงเปิดแนวราบใหม่ต่อเนื่อง ขณะที่คอนโดฯ จะมีโครงการเสร็จใหม่ปีนี้ 3 โครงการ เริ่มโอนฯ 2Q67 แนะนำ Outperform FV ปี 2567 ที่ 16.00 บาท เด่นทั้งทิศทางกำไรที่ยังเติบโต, การเงินแข็งแกร่ง และปันผลจูงใจกว่า 6% ต่อปี

ปี 2567 คาดกำไรกลับมาเติบโต 11% yoy เท่ากับ 6.66 พันล้านบาท หนุนจากยอดโอนฯ เพิ่มขึ้น 6% เท่ากับ 3.28 หมื่นล้านบาท มี Backlog รองรับ 41% รวมถึงมาร์จิ้นจะดีขึ้นจากโอนฯ คอนโดฯ ใหม่มากกว่าปีก่อน ตลอดจนส่วนแบ่งกำไรจากออสเตรเลียเพิ่มหลังลงทุนในโครงการใหม่ แนะนำ Outperform FV ปี 2567 ที่ 27.30 บาท รับปันผล 2H66 หุ้นละ 0.75 บาท หรือ 3.8% 

คงประมาณการ และ FV ปี 2567 อยู่ที่  4.0 บาท/หุ้น อิง EPS ที่ 0.15 บาท/หุ้น และ PER เฉลี่ยถ่วงน้ำหนักที่ 27.5 เท่า ประกาศจ่ายปันผลทั้งปี 2566 ที่หุ้นละ 0.05 บาท คิดเป็น div.yield ทั้งปีที่ 1.2% แม้คาดผลประกอบการรายปีจะเริ่มฟื้นตัว แต่ราคาหุ้นปัจจุบันเกินมูลค่าแล้ว ช่วงสั้นยังคงคำแนะนำ underperform

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 3.7 บาท/หุ้น ภาพระยะยาวยังไม่มีความน่าสนใจ ถูกดดันจาก Adder ที่จะหมดลงตั้งแต่ปี 2568 จึงแนะนำ Underperform แต่หากนักลงทุนมีหุ้นอยู่ ยังสามารถถือรับปันผลซึ่งคาดหวัง Div Yield 4-6% /ปี (1H66 จ่าย 0.12 บาท/หุ้น , 2H66 คาดจ่ายอีก 0.12 บาท/หุ้น คิดเป็น Div yield 2H66 ที่ 3.5%)

หลังปรับประมาณการสะท้อนเลิกกิจการ RL และให้สอดคล้องกับเป้าบริษัท กำไรปกติปี 2567 เพิ่มจากเดิมเล็กน้อย 1.6% อยู่ที่ 5.9 พันล้านบาท จะฟื้นตัว 17.6% yoy และ FV ปี 2567 เท่ากับ 19.00 บาท ปรับเพิ่มเป็น Neutral หลังหมดความกังวลเรื่องงบ และชัดแจนเรื่องปันผล ซึ่งจ่าย 2H66 หุ้นละ 0.24 บาท คิดเป็น 1.5%

แม้กำไรปี 2566 จะดีกว่าคาด แต่เรายังคงคงประมาณการกำไรปี 2567–68 ของ CBG ไว้ที่ 2.4 - 2.8 พันล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 83 บาท (อิง PER 34 เท่า) เนื่องจากตลาดในประเทศยังมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่ฟื้นช้า ส่วนตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะพม่า ยังมีความเสี่ยงจากปัญหาการเมือง และการนำเข้าสินค้า โดยคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 4Q66 ที่ออกมาดี โตทั้ง QoQ และ YoY และ 2) ราคาหุ้นยัง laggard กลุ่ม

มองจุดเปลี่ยนจะเกิดขึ้นปลาย 2Q67 หลังงบประมาณแผ่นดินปี 2567 เริ่มเบิกจ่าย และน่าจะดีต่อเนื่องไปถึงต้นปี 2568 หากงบประมาณแผ่นดินปี 2568 เบิกจ่ายได้ตามปกติ ส่วนตลาดต่างประเทศยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ ประเด็นความเสี่ยงหลักเป็นเรื่องการหา Feedstock ให้น้ำหนักลงทุน Neutral ประเมิน Fair Value  22.00 บาท 

มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 เท่ากับ 36 บาทต่อหุ้น ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นได้มีการปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆที่เกิดขึ้นไปแล้วระดับหนึ่งจนมี downside ที่จำกัด ประกอบกับด้านปัจจัยพื้นฐานกำไรยังคงมีความแข็งแกร่งจากการเป็น holding company อีกทั้งเป็นหุ้นที่มีการจ่ายปันผลในระดับที่ดี โดยประกาศจ่ายปันผล 2H66 หุ้นละ 1.2 บาท คิดเป็น DivYield ครึ่งปีที่ 3.5% (ทั้งปีจ่าย 2 บาทต่อหุ้น) ดังนั้นจึงเพิ่มคำแนะนำเป็น Neutral จาก Underperform

คงประมาณการ และFV ปี 2567 ที่ 63 บาท/หุ้น ประกาศจ่ายปันผลทั้งปี 2566 ที่ 0.88 บาท/หุ้น คิดเป็น Div.yield ทั้งปี 2.0% แนวโน้มผลประกอบการทั้งในระยะสั้น และระยะยาวยังเห็นการเติบโตที่แข็งแกร่ง จากโครงการใหม่ๆเข้ามาช่วยหนุน อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside สูง เน้นทยอยสะสมลงทุนระยะยาว 

สมมติฐานของฝ่ายวิจัยที่ยังสอดคล้องกับเป้าบริษัท จึงคงประมาณการปี 2567 คาดกำไรปกติกลับมาเติบโตระดับ 24% เท่ากับ 2.88 พันล้านบาท โดยคาดกำไร 1Q67 จะดีขึ้น YoY จากทั้งยอดขายและมาร์จิ้น (แต่ลดลง QoQ จากช่วงฤดูกาล) ทั้งนี้ ITC จ่ายปันผล 2H66 หุ้นละ 0.35 บาท หรือ Div Yield 1.7% ขณะที่ทั้งปี 2567 คาดกว่า 3% ต่อปี แนะนำ Outperform ด้วย FV ปี 2567 ที่ 23.00 บาท

คงแนะนำ outperform FV ปี 2567 ที่ 83.00 บาท จากทิศทางกำไร 4Q66 ที่ยังยืนระดับสูง และคาดแข็งแกร่งต่อเนื่องใน 1Q67 มีแรงหนุนจากมาตรการ Easy e-receipt, เปิดศูนย์การค้าใหม่ที่นครสวรรค์ และ peak season ท่องเที่ยว ขณะที่ภาพกำไรรายปีเชื่อว่ายังสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่อีกหลายปีข้างหน้า ตามแผนลงทุนในธุรกิจศูนย์การค้า โรงแรม และที่อยู่อาศัย อย่างต่อเนื่อง

มูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2567 จะอยู่ที่ 59 บาทต่อหุ้น ยังให้น้ำหนักการลงทุนด้านพื้นฐานในลักษณะ trading สะสมขณะที่หุ้นย่อตัว เพราะเชื่อว่าจะเห็นจังหวะการดีดตัวของราคาหุ้นได้เป็นระลอกๆตามทิศทางค่าการกลั่น แต่ทั้งนี้ช่วงสั้นมีปัจจัยบวกเรื่องปันผล 2H66 ที่สูงถึงหุ้นละ 2.75 บาท คิดเป็น Dividend Yield งวดครึ่งปีที่ 4.9% ปรกอบ Outlook กำไรปกติ 1Q67 ที่จะสดใสกว่าที่คาดไว้เดิม จึงคาดราคาหุ้นน่าจะ Outperform ตลาดได้ในช่วงสั้น 

เรามองว่าหุ้น CPAXT จะ“Outperform” ตลาดได้ เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 4Q66 ที่ออกมาดี, 2) คาด 1Q67 ยอดขายจะหนุนโดย Easy E-receipt และตรุษจีน และ 3) มี upside จาก synergy หลังการควบรวมเป็น บ.ใหม่ แต่ในเบื้องต้นเรายังคงประมาณการกำไรปี  2567 – 68 ของ CPAXT ไว้ที่ 1.06 – 1.27 หมื่นล้านบาท และคงราคาเป้าหมายที่ 37.00 บาท (อิง PER 36.9 เท่า) 

แม้เป้าหมาย NIM ดูสร้างความผิดหวังให้กับตลาด แต่มองระยะถัดไปมีปัจจัยหนุนจากการลงทุนภาครัฐ ดีต่อสินเชื่อรายใหญ่ อีกทั้งราคาหุ้น YTD ผ่านการปรับฐาน 9% มากกว่า SET Index ลบ 2% YTD รับวัฎจักรดอกเบี้ยขาลงพอควร ทำให้ PBV ซื้อขาย 0.49 เท่า และ PER ที่ 6.3 เท่า พร้อมคาดเงินปันผลต่อหุ้นปี 2566 ที่ 6 บาทต่อหุ้น (1H66 จ่ายแล้ว 2 บาท คงเหลือ 2H66 ที่ 4 บาทต่อหุ้น) ประเมินช่วย Limit downside ต่อราคาหุ้น คงแนะนำ Outperform 

ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 2.4 บาท/หุ้น ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นมีการปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆทั้งงบ 4Q66 ที่ไม่ดี และการฟื้นตัวที่ล่าช้าของจีนซึ่งเป็นผู้บริโภคปิโตรเคมีหลักไปแล้วระดับหนึ่ง อีกทั้งยังประกาศจ่ายปันผลปี 66 หุ้นละ 0.03 บาท แม้ผลการดำเนินงานทั้งปีจะขาดทุน ประกอบกับภาพรวมธุรกิจน่าจะทยอยฟื้นตัวตามลำดับในปี 2567 จึงเพิ่มคำแนะนำลงทุนเป็น Neutral 

ทิศทางกำไรปี 2567 ยังเติบโตต่อเนื่อง สนับสนุนจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากสายการผลิต Ct-6, การทำการตลาดเชิงรุก และแนวโน้มต้นทุนที่มีความผันผวนน้อยลง อีกทั้งยังมีเครดิตภาษีเงินคืนจากโครงการลงทุนต่างๆ ฝ่ายวิจัยประเมิน Fair Value อิง DDM ได้ราคาเหมาะสม 9.40 บาท มี upside 13.9% และ dividend yield 6.3% ให้คำแนะนำการลงทุน outperform

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 เป็นต้นไป สะท้อนการประเมินภาพรวมของธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน และ ธุรกิจ non-oil ให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ FV ใหม่ อยู่ที่ 20.5 บาท/หุ้น (เดิม 23) ประกาศจ่ายปันผล 2H66 ที่หุ้นละ 0.27 บาท (ทั้งปี 2566 จ่ายหุ้นละ 0.52 บาท) Div.yield ครึ่งปี 1.5% ภาพการเติบโตเพียงสอดรับกับทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่โดดเด่น แนะนำ Neutral 

เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงกำไรของ JMT ไปก่อนหน้านี้ บวกกับคาดกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ จะยังกดดันธุรกิจจัดจำหน่ายมือถือต่อไป เราจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 – 68 เหลือ 1.3 – 1.4 พันล้านบาทตามลำดับ ส่งผลให้ราคาเป้าหมายปรับลดจาก 23.6 บาท เหลือ 20.90 บาท (SOTP) แต่ยังคงคำแนะนำ Outperform เพราะ 1) เชื่อว่าการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดแล้วในปี 2566  และ 2) ราคาหุ้นได้ปรับลงสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว (-12% YTD) และยัง laggard กลุ่ม

เราได้ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ลงจากเดิมเฉลี่ย 5% เหลือ 2.2 – 2.5 พันล้านบาทตามลำดับ และปรับลด PBV ลงจาก -1.5 S.D เป็น -1.75 S.D ความเสี่ยงของการจัดเก็บหนี้ ในภาวะที่กำลังซื้อยังอ่อนแอ ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ลดจาก 45.00 บาท เหลือ 36.50 บาท (อิง PBV  1.9 เท่า) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 4q66 ที่ออกมาดี, และ 2) ราคาหุ้นได้ปรับลงสะท้อนความกังวลต่างๆไปมากแล้ว (-11% YTD)

แนวโน้มธุรกิจปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา คาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลและภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวเป็นตัวขับเคลื่อน ขณะที่แผนการลดต้นทุนยังดำเนินการต่อเนื่องทั้งการติดตั้งแผงโซลาร์เพื่อลดค่าไฟฟ้า และการบริหาร Fleet รถขนส่ง รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DDM ได้ที่ 2.14 บาท มี Upside 10.88%

มูลค่าพื้นฐานปี 67 ที่ 36 บาทต่อหุ้น ภายใต้รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯใหม่ของไทยแล้ว ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาคาดจะตอบรับผลลบเรื่องโครงสร้างราคาก๊าซฯ และผลการดำเนินงานที่ยังไม่สดใสไปแล้วระดับหนึ่ง อีกทั้งประกาศจ่ายปันผลทั้งปี 2566 ที่ 0.75 บาทต่อหุ้น คิดเป็น DivYield ที่ 2.1% ทำให้มีการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น Neutral จาก Underperform

แม้เป้าหมายที่จะไปถึง MARKET CAP. ให้ได้ 100,000 ล้านบาท ในปี 2570 จะเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่ SJWD มีกลยุทธ์การเติบโตในรูปแบบต่างๆ เช่น ทำดีล M&A ต่อเนื่อง, มีแผนการทำ ASSET monetization ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าพื้นฐานของ SJWD โดยอิงวิธี DCF (กำหนดสมมติฐาน WACC ที่ 6.6% และ TERMINAL GROWTH RATE ที่ 3%) ได้ราคาเหมาะสม 18.70 บาท มี UPSIDE 24.7%

ภายใต้ประมาณการใหม่ บนคาดการณ์กำไรปกติปี 2567 – 69 เติบโตเฉลี่ย 42% อิง DCF ให้ FV ใหม่ปี 2567 ที่ 74 บาท (เดิม 80 บาท) แนะนำ Outperform จาก PEG (PER / CAGR) ซื้อขายปัจจุบันที่ 1.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 2560 – 62 ที่         4 เท่า ขณะที่แนวโน้ม ROE เฉลี่ยที่ 17% และระยะสั้นกำไร 2Q67 เติบโต QoQ ภาพรวมยังมองว่าเป็นตัวเลือกที่ดีในกลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งภาครัฐให้ความสำคัญ          

ทิศทางธุรกิจสดใส รองรับจาก Backlog มากกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท รวมถึงงานประมูลใหม่มูลค่า 3.0-4.0 พันล้านบาท ที่จะทราบผลใน 1Q67 ขณะที่ฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้นมาก หลังได้รับเงิน 1.1 พันล้านบาท จากคดี Rocksalt ให้น้ำหนัก Outperform ประเมินราคาเหมาะสมอิง Historical PBV 1.21 เท่า ที่ 7.00 บาท 

การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ในปี 2566 จะส่งผลบวกต่อต้นทุนหลายส่วนในอนาคต ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการปี 2567-68 ขึ้นอีก 7% และ 10% ตามลำดับ ส่งผลให้ FAIR VALUE อิง PER 17 เท่า เพิ่มจาก 160 บาท เป็น 172 บาท มี Upside 23% พร้อมคาดหวัง Yield สูงถึง 5.7% ให้น้ำหนัก Outperform

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 18 บาท/หุ้น แม้ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside สูง แต่ภาพการเติบโตของกำไรยังไม่โดดเด่น อีกทั้งช่วงสั้นงบ 4Q66 จะถึงขั้นขาดทุน ช่วงสั้นจึงแนะนำ underperform อย่างไรก็ตาม หากมีหุ้นอยู่จะถือรับปันผลได้ คาด 2H66 จ่ายอีก 0.3 บาท/หุ้น คิดเป็น div. yield ครึ่งปี 2.1%

คงประมาณการ และ Fv ปี 2567 ที่ 55 บาท ประกาศจ่ายปันผล 2H66 หุ้นละ 0.44 บาท (ทั้งปีจ่าย 0.74 บาท) คิดเป็น div.yield ครึ่งปีที่ 0.9% แม้ผลประกอบการ 4Q66 จะอ่อนตัว แต่คาดกำไรปกติจะเริ่มทยอยปรับตัวดีขึ้น QoQ ตามลำดับ หากราคาหุ้นปรับฐานลงอีกระลอก มองเป็นโอกาสเข้าทยอยสะสมลงทุนระยะยาว 

อิง DCF ให้ FV ปี 2567 ที่ 35 บาท ปรับคำแนะนำจาก Outperform เป็น Neutral ภายใต้การเข้าสู่ Low season ใน EU ช่วง 1Q67 ประกอบกับราคาหุ้น MINT ปรับขึ้น 3.4% YTD ดีกว่า SET Index ที่ลบ 2% YTD และหุ้นในกลุ่มโรงแรมอย่าง CENTEL ลบ 3% YTD และ ERW ติดลบ 9% YTD ภาพรวมจึงมองว่าระยะถัดไปการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในทางบวกน่าจะเริ่มจำกัดขึ้น                     

ADVANC มีกำไรสุทธิงวด 4Q66 ที่ 7.0 พันล้านบาท (-14% QoQ, -5% YoY) ซึ่งต่ำกว่าทั้งที่เราและตลาดคาดการณ์ โดยกำไรที่ตกต่ำลงทั้ง QoQ และ YoY เพราะถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายขายและบริหาร รวมทั้งดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 9.8 บาท/หุ้น ราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวขึ้นจนเต็มมูลค่า ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานคาดกำไรยังอ่อนตัวในช่วงสั้น และฐานกำไรใหม่เริ่มลดลง หลังสิ้นสุดสัญญาเดิมของ PTW ในปี 2566 ช่วงสั้นจึงปรับลดคำแนะนำลงเป็น underperform อย่างไรก็ตามยังมีความโดดเด่นด้านปันผลที่สม่ำเสมอ จึงเน้นเพียงถือเพื่อรอรับปันผล โดยคาดหวัง div yield 4-5%/ปี 

ทิศทางธุรกิจปี 2567 สดใส เข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลตอบแทนการลงทุนเต็มที่ เตรียมปรับขึ้นค่าโฆษณาขึ้นอีกหลังอัตราการใช้สื่ออยู่ในระดับสูง พร้อมเดินหน้าผลักดันธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วมให้เติบโต ทั้งธุรกิจมวย ฟุตบอล และการบริหารสิทธิ์ปารีส โอลิมปิก ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมิน Fair value ที่ 10.60 บาท  

บริษัทตั้งเป้า pre-sale ปี 2567 ที่ 2,275 ไร่ ซึ่งต่ำกว่า ปี 2566 ที่ทำได้ 2,767 ไร่ แต่ฝ่ายวิจัยประเมินว่ามีโอกาสที่เป้าดังกล่าวจะปรับเพิ่ม เนื่องจากมี sentiment การย้ายฐานการผลิตเข้ามา ASEAN ประเมินมูลค่าเหมาะสมอิง Historical PER 10 ปีย้อนหลัง ปรับเพิ่ม 0.5 S.D. สะท้อน outlook ธุรกิจในช่วงขาขึ้น อยู่ที่ 23 เท่า ได้ FV. 5.95 บาท มี upside 24.5% ให้คำแนะนำเป็น Outperform 

ภาพรวมปี 2567 รายได้กิจการโรงพยาบาลยังขยายตัวจากทั้งผู้ป่วยชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลตอบแทนของโรงพยาบาลใหม่ 3 แห่งที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นต่อเนื่อง ประเมิน FV ที่ 23.20 บาท อย่างไรก็ตามราคาปัจจุบันมี Upside จำกัด ให้คำแนะนำ Neutral

ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 66 จากผลประกอบการ 4Q66 ที่อ่อนแอ และปรับปรุงสมมติฐาน WACC ใหม่พื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมในกลุ่มโรงไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ FV ใหม่ปี 2567 อยู่ที่ 10.0 บาท (เดิม 11.0)ช่วงสั้นคาดราคาหุ้นอาจถูกกดดันจากงบ 4Q66 ย่ำแย่ ส่วนภาพยาวกำไรปกติฟื้นตัวแต่ยังไม่โดดเด่น เน้นรอจังหวะเข้าลงทุนตามช่วง peak ของผลประกอบการใน 3Q67 จะปลอดภัยกว่า

หากกำไร 4Q66 เป็นไปดังคาด จะทำให้กำไรรวมทั้งปี 2566 มี downside เพียง 2%-3% จากคาดการณ์ของเรา ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรปี 2566 – 2567 ไว้ที่ 670 ล้านบาท (+30% YoY) และ 825 ล้านบาท (+23% YoY) ตามลำดับ และราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 26.00 บาท (อิง PER 30.3 เท่า) โดยมองว่าราคาหุ้นจะ“Outperform” ตลาดได้ เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 4Q66 ที่คาดจะออกมาดี, 2) แนวโน้มยอดขายใน 1Q67 ยังดูสดใส โดยเฉพาะในร้านสะดวกซื้อ และ 3) มี upside จากสินค้าอาหารเสริมที่บริษัทเตรียมเปิดตัวปลาย ก.พ. 67 นี้

คงมุมมอง Neutral ต่อกลุ่ม เลือก AOT จาก ROE สูงกว่ากลุ่มฯ อีกทั้งทิศทางกำไรมีโมเมนตัมเชิง QoQ ถึง มี.ค. 67 และ MINT ซึ่งมี Sentiment จาก Event ใหญ่ใน EU อย่างฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่เยอรมนี และโอลิมปิกที่ปารีส นอกจากนี้ภายหลังปรับลดประมาณการ ERW สะท้อนดอกเบี้ยจ่ายจากโรงแรมญี่ปุ่น ส่งผลให้ FV ใหม่ลงมาที่ 5.5 บาท (เดิม 6.7 บาท) Upside จำกัด ลดคำแนะนำเหลือ Neutral ส่วน CENTEL คงชอบน้อยสุดในกลุ่มฯ เพราะ PER สูงสุดในกลุ่มฯ แต่ ROE ต่ำสุดในกลุ่มฯ 

ประกาศจ่ายปันผล 2H66 สูงโดดเด่น หุ้นละ 5.25 บาท (ทั้งปี 66 อยู่ที่ 9.5 บาท) คิดเป็น Dividend Yield งวดครึ่งปีที่ 3.6% คงมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 180 บาทต่อหุ้น ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบตั้งแต่ปี 2567 ที่ 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล ยังคงแนะนำในลักษณะ trading ตามราคาน้ำมัน พร้อมรับปันผลสูง

คงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 55 บาท ช่วงสั้นยังคงคำแนะนำ Neutral จากราคาหุ้นที่อาจถูกกดดันจากผลประกอบการงวด 4Q66 ที่ลดลง สอดคล้องกับภาพรวมของกลุ่มโรงไฟฟ้า แต่อย่างไรก็ตามทิศทางกำไรในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าคาดยังทยอยฟื้นตัวขึ้นได้ตามลำดับ เน้นหาจังหวะเข้าทยอยสะสมลงทุนระยะยาว  

ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า CK จะเดินหน้าสร้างกำไรโดดเด่นในช่วงหลายปีข้างหน้า จาก Backlog ที่มีกว่า 1.3 แสนล้านบาท พร้อมโอกาสรับงานเพิ่มจากโครงการลงทุนของบริษัทลูก ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสม 28.00 บาท  

SENTIMENT อุตสาหกรรมนิคมฯ โดยรวมยังดีต่อเนื่อง สะท้อนจากการลงทุนจากต่างประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนและมูลค่าโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดจดทะเบียนรถ BEV ใหม่ปี 2566 เพิ่มขึ้น 4 เท่าเทียบกับปี 2565 ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2567 อิง PER 14.8 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 29.50 บาท มี UPSIDE 39.8% ให้คำแนะนำที่ OUTPERFORM

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และFV ปี 2567 ที่ 63 บาท/หุ้น ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside สูง ประกอบกับช่วงสั้นยังมีปัจจัยหนุนจากคาดการณ์ผลประกอบการ 4Q66 ที่สดใส อีกทั้งภาพกำไรช่วง 2-3 ปีข้างหน้ายังเห็นการเติบโตที่แข็งแกร่ง คงคำแนะนำ outperform  โดยเน้นหาจังหวะทยอยสะสมลงทุนในระยะยาว 

Outperform (เลือกเป็น Top pick คู่กับ MINT) จากภาคการท่องเที่ยวไทย มีจุดแข็งจากการพึ่งพากำลังซื้อของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้แรงกดดันจากกำลังซื้อในประเทศที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่สูง เป็นจุดแข็งเมื่อเทียบกับ SET ยาม GDP ไทยเติบโตจำกัด ประกอบกับโมเมนตัมกำไร QoQ ต่อเนื่อง 2 ไตรมาส และโครงสร้างทางการเงินมี D/E ที่ 0.7 เท่า พร้อมแนวโน้ม ROE เฉลี่ย 19% สูงกว่าหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ ROE ไม่เกิน 15%   

ทิศทางธุรกิจระยะยาวของ BEM สดใส เดินหน้าทำกำไร New High ต่อเนื่อง จากฐานธุรกิจเดิมที่เติบโตขึ้นตามจำนวนผู้ใช้บริการ และโอกาสคว้าสัญญาใหม่ทั้งการเดินรถไฟฟ้าสายสีส้ม สายสีม่วงใต้ และทางด่วนชั้นที่ 2 ที่จะมีความชัดเจนในปีนี้ ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DCF อยู่ที่ 11.00 บาท  

คงมุมมอง Neutral ต่อกลุ่มฯ ทิศทางข้างหน้าเติบโตไปตาม GDP ไทย เลือก ธ.พ. ที่ให้ Div yield สูง โดยใน 6 ธ.พ. ใหญ่ เลือก TTB ที่มีกันชนอย่าง tax shield และการกัน ECL เพิ่มเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคตช่วง 4Q66 คาดหนุนกำไรปี 2567 ขยายตัวเด่นสุดในกลุ่มฯ 7% YoY และ Div Yield ราว 5% - 6% ต่อปี ส่วน ธ.พ. เล็ก เลือก TISCO คาดการณ์ Div Yield ราว 7% - 8% ต่อปี ขณะที่ BBL และ KBANK ด้วย PBV แถว 0.5 เท่า มองว่า Valuation ถูกแล้ว     

หากกำไร 4Q66 เป็นไปอย่างคาด จะทำให้กำไรสุทธิรวมทั้งปี 2566 มี upside เพียง 3% - 4% ของคาดการณ์ เราจึงคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566–67 ที่ 4.6 พันล้านบาท (-9% YoY) และ 5.5 พันล้านบาท (+19% YoY) ตามลำดับ และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 35.00 บาท (อิง PER 25.6 เท่า, -1.0 SD) รวมทั้งคงคำแนะนำ “Outperform” จากกำไร 4Q66 ที่จะโตแรง QoQ, 1) 1Q67 คาดได้ประโยชน์จาก Easy E-receipt หนุนกำไรโต YoY และ 2) ราคาหุ้น laggard กลุ่ม  

อิง PBV ให้ FV ที่ 148 บาท ด้วยราคาหุ้นปรับฐาน 9% YTD เทียบ SET Index ลบ 2.4% สะท้อนปัจจัยด้านคุณภาพสินทรัพย์พอสมควร ส่งผลให้ PBV ซื้อขาย 0.53 เท่า และ PER ที่ 6.8 เท่า อีกทั้งเป้าหมายทางการเงินดูสอดคล้องกับสมมติฐานฝ่ายวิจัย จึงมองราคาปรับฐานลึกเกินไป คงคำแนะนำ Outperform

ประเมินปี 2567 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจ Chemical มีการขยายคลังสินค้าเพิ่ม, ธุรกิจการขนส่งทางอากาศมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนการทำ Transit มากขึ้น, ด้าน AOTGA ได้เข้าไปรับงาน Air Cargo Terminal ที่สนามบินสุวรรณภูมิเพิ่มและ ANI มีแผนที่จะขยายไปยังประเทศเกาหลีใต้ เวียดนามอินเดีย ประกอบกับทำ M&A เพิ่มเติม ประเมิน FV ปี 2567 อิง Historical PER ที่ 17 เท่า ได้ Fair Value 14.20 บาท ให้คำแนะนำ outperform

ภายใต้สมมติฐานอนุรักษ์นิยมกว่าบริษัท คาดกำไรปี 2567 เติบโต 17% อยู่ที่ 6.66 พันล้านบาท จากปีก่อนคาด 5.7 หมื่นล้านบาท นอกจากเปิดโครงการแนวราบจำนวนมาก ยังมีการส่งมอบ 5 คอนโดฯ ใหม่ และส่วนแบ่งกำไรเพิ่มจากออสเตรเลีย OUTPERFORM จากพื้นฐานธุรกิจที่ดี, มีความสมดุลของพอร์ตสินค้า, การเงินแข็งแรง พร้อมปันผล 2H66 ที่ 0.70 บาท ราว 3.6% และทั้งปี 2567 สูงกว่า 7% 

ทิศทางผลประกอบการ 1H67 ไม่เด่น เพราะต้องรับรู้ต้นทุนคงที่โครงการปิโตรเคมีในเวียดนามเพิ่มขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงหลายด้าน อย่างไรก็ตามราคาหุ้นได้ปรับลงตอบรับปัจจัยดังกล่าวแล้ว และมีความหวังมากขึ้นต่อธุรกิจในอนาคต เพิ่มน้ำหนักลงทุนเป็น Neutral ให้ราคาเหมาะสม 330 บาท  

ทิศทางธุรกิจปีนี้มีความหวังมากขึ้นโดยเฉพาะตลาดในประเทศที่น่าจะเติบโตเด่น หลังงบประมาณแผ่นดินปี 2567 เริ่มเบิกจ่าย ส่วนตลาดต่างประเทศยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ ประเด็นความเสี่ยงหลักๆยังคงเป็นเรื่องการหา Feedstock ให้น้ำหนักลงทุน  Neutral ประเมิน Fair Value อิง Historical PBV ได้ที่ 22.30 บาท 

ภายหลังปรับลดกำไรสุทธิปี 2567 – 68 เฉลี่ย 8% จาก OPEX สะท้อนผลขาดทุนรถยึดที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้คาดกำไรสุทธิปี 2567 ลดลง 2% YoY อิง PBV ให้ FV ใหม่ที่ 49 บาท (เดิม 56 บาท) คงแนะนำ Underperform จากความไม่แน่นอนของผลขาดทุนรถยึด ประกอบกับคาด Div yield ปี 2566 ไม่โดดเด่นเหมือนในอดีต โดยในกลุ่มฯ เน้นไปที่ TTB และ TISCO ที่ให้ Div yield ต่อปีสูงกว่า             

ปัจจัยแวดล้อมปีนี้ดูดีกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะด้าน Demand ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอาเซียน ในขณะที่แรงกดดันด้านต้นทุนในปัจจุบันยังมีไม่มาก อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เป็นประเด็นหลักที่ต้องติดตามใกล้ชิด เพราะจะสร้างความผันผวนต่อต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบ ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral ประเมินราคาเหมาะสมที่ 45.00 บาท เทียบเท่า Implied PER 30 เท่า

แม้เป้าหมายบริษัทสูงกว่าสมมติฐานของฝ่ายวิจัย แต่เนื่องจากมีความไม่แน่นอนของตลาดอสังหาฯ และการแข่งขันที่สูงขึ้นในกลุ่มบ้านกลางบน-บน จึงคงประมาณการเดิมอย่างอนุรักษ์นิยม และถือเป็น upside ในอนาคต หากตลาดดีกว่าคาด แนะนำ Outperform จาก Valuation ที่ถูก และปันผลจูงใจ คาด 2H66 เฉลี่ย 5.26% และทั้งปี 2567 ยังสูงกว่า 8% แม้ประเมินกำไรปกติลดลงก็ตาม 

ทิศทางธุรกิจปีนี้ประเมินยอดขายเติบโตไม่มาก มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆตอบรับความนิยมของผู้บริโภค ขณะที่แผนการลดต้นทุนยังดำเนินการต่อเนื่องทั้งการติดตั้งแผงโซลาร์ลดค่าไฟฟ้าและการบริหาร Fleet รถขนส่ง ราคาหุ้นที่ปรับตัวลง สอดคล้องกับผลประกอบการและเงินปันผลที่ลดลง ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral ประเมินราคาเหมาะสมวิธี DDM ได้ที่ 2.14 บาท มี Upside 31.8%

แนะนำ Outperform ที่ 16.00 บาท คาดราคาหุ้นระยะสั้นมีแรงพยุงจากทิศทางกำไรที่เป็นขาขึ้นในปี 2566-2567 นำไปสู่การจ่ายเงินปันผลรอบปี 2566 หุ้นละ 0.68 บาท หรือ 6.2%% (จ่ายปีละ 1 ครั้ง หลังประกาศงบปีวันที่ 20 ก.พ. 2567)

ประมาณการกำไรปี 2566 ของเราน่าจะมี downside 1% - 2% จึงคงคาดการณ์ไว้ที่ 6.4 พันล้านบาท แต่ปรับกำไรปี 2567 ลง 5% เหลือ 6.7 พันล้านบาท (+4% YoY) สะท้อน SSSG ที่อ่อนแอใน 4Q66 และน่าจะต่อเนื่องมาในปี 2567 ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ลดจาก 17.20 บาท เหลือ 14.30 บาท (ปรับ PER จาก 32 เท่า เหลือ 28.1 เท่า, -1.0 S.D) ปรับคำแนะนำลงเป็น “Underperform” แม้ราคายังมี upside สูง เพราะระยะสั้นยังมีปัจจัยกดดันจากกำไร 4Q66 ที่คาดจะตกต่ำลง YoY

ฝ่ายวิจัยได้มีการปรับลดเงินปันผลเป็นไม่จ่ายปันผลปี 2566 เนื่องจากทั้งปีเผชิญกับผลขาดทุนจากการดำเนินงานปกติ อีกทั้งในช่วง 1H66 ที่ผ่านมาไม่ได้มีประกาศจ่ายปันผล และ 2H66 ขาดทุนมากกว่า 1H66 ด้วย จึงมีโอกาสที่ไม่จ่ายปันผล ซึ่งประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ใหม่จะลดลงไปอยู่ที่ 2.4 บาท/หุ้น (เดิม 2.5) แม้ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นมีการปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆไปแล้วระดับหนึ่ง แต่ outlook  1Q67 ก็ยังไม่สดใสมากนัก คงต้องรอความหวัง 2H67

ภายหลังปรับเพิ่มกำไรสุทธิปี 2567 – 68 เฉลี่ย 5% หลักๆ มาจาก tax shield อิง PBV ให้ FV ใหม่ 1.98 บาท (เดิม 1.83 บาท) ปรับคำแนะนำจาก Neutral เป็น Outperform จาก tax shield และสำรองส่วนเพิ่มที่ตั้งในงวด 4Q66 คาดช่วยให้กำไรเติบโตเด่นกว่ากลุ่มฯ ช่วงปี 2567 - 69 

แม้คาด Div yield ราว 6% ต่อปี (ปี 2566 คาดไว้ 6.7 บาทต่อหุ้น, 1H66 จ่าย 2.5 บาท คงเหลือ 2H66F ที่ 4.2 บาท) แต่ Upside จำกัด และ PBV ที่ 0.71 เท่า และ PER ที่ 8 เท่า สูงกว่า KBANK (PBV ที่ 0.54 เท่า, PER ที่ 7 เท่า) และ BBL (PBV ที่ 0.49 เท่า, PER ที่ 6.4 เท่า) จึงคงแนะนำ Neutral โดยหากต้องเลือกระหว่าง KBANK กับ SCB ในเชิง Valuation ดูเหมือน KBANK มีความโดดเด่นมากกว่า

ภายหลังปรับลดประมาณการ อิง PBV 0.62 เท่า (เดิม 0.72 เท่า) ได้ FV ปี 2567 ที่ 19 บาท (เดิม 22 บาท) โดยประเมินราคาหุ้นตอบสนองเชิงลบจาก Negative surprise ของงบ 4Q66 และคุณภาพสินทรัพย์ดูมีความไม่แน่นอน  

ปรับปรุงประมาณการปี 2567 และลดปี 68 สะท้อนโอกาสอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงตั้งแต่ 2H67 ให้ FV ใหม่ที่ 148 บาท (เดิม 150 บาท) คงแนะนำ Outperform หลัง PBV อยู่ที่ 0.54 เท่า และ PER 7 เท่า ถูกกว่า SCB ที่มี PBV 0.71 เท่า และ PER 8 เท่า อีกทั้งกรณีที่ Credit cost ปี 2567 ไม่ลดลง จะส่งผลให้ FV เหลือ 143 บาท มี Upside ราว 14% จากราคาปัจจุบัน จึงมองราคาปรับฐานมากเกินไป  

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 3.7 บาท/หุ้น ช่วงสั้นยังไม่มีปัจจัยบวกที่โดดเด่นใหม่ๆเข้าขับเคลื่อน  ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานระยะยาวยังถูกกดดันจาก Adder ที่จะหมดลงในปี 2568  แต่อย่างไรก็ตาม ยังสามารถถือเพื่อรับปันผลที่โดดเด่น ซึ่งคาดหวัง dividend yield ราว 4-6%/ปี

หากกำไร 4Q66 ออกมาอย่างคาด เชื่อว่าจะมี upside จากประมาณการกำไรทั้งปี2566 ของเราเพียง 3% ทำให้เราคงประมาณการกำไรปี 2566 - 2567 ไว้ตามเดิมที่ 1.68 – 1.99 หมื่นล้านบาท และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 77.00 บาท (อิง PER 34.8 เท่า) รวมทั้งคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากกำไร 4Q66 ที่จะออกมาดีทั้ง QoQ และ YoY, 2) มีปัจจัยหนุนใน 1Q67 จาก Easy E-receipt และ 3) ราคาหุ้นปรับลงถึง 5% YTD ขณะที่หุ้นกลุ่มพาณิชย์ลดลง 2%

ภายหลังปรับลดกำไรปี 2567 – 68 ราว 3% ซึ่งยังขยายตัวราว 3% ต่อปี และสมมติฐาน GGM ให้ PBV ที่ 0.6 เท่า (เดิม 0.65 เท่า) ให้ FV ใหม่ที่ 175 บาท (เดิม 199 บาท) โดยแม้ราคาหุ้นมีโอกาสตอบสนองเชิงลบจาก OPEX สูงกว่าคาด แต่ราคาหุ้น YTD ปรับฐาน 7% VS SET ลบ 3% ทำให้ PBV ซื้อขาย 0.5 เท่า พร้อมคาดปันผลต่อหุ้นปี 2566 ที่ 6 บาท (1H66 จ่าย 2 บาท เหลือ 2H66F ที่ 4 บาท) ประเมิน Limit downside ต่อราคาหุ้น คงคำแนะนำ Outperform      

แม้กำไรได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วตั้งแต่ปี 2565 โดยกำไรปี 2567-2568 จะลดลงตาม Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและเงินสนับสนุนค่า Adder โรงไฟฟ้าที่หมดลง แต่ราคาหุ้นปัจจุบันที่มี Valuation ต่ำมาก วัดจากค่า PER และ PBV พร้อมให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับที่น่าจูงใจมากกว่า 4% ต่อปี แนะนำ Neutral ประเมินราคาเหมาะสมปี 2567 อิง PER 11 เท่า ได้ที่ 1.90 บาท 

โอกาสที่จะเติบโตไปพร้อมกับเทรนด์โลกในอุตสาหกรรม Wellness ประกอบกับการเป็นผู้นำในธุรกิจโรงพยาบาลที่มีการเติบโตในอนาคตที่โดดเด่น คาดการณ์กำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ยปีละ 9% ในปี 2567-2570 ประเมินราคาเหมาะที่ 31.50 บาท อิงวิธี DCF ให้น้ำหนักการลงทุน OUTPERFORM

มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 36 บาทต่อหุ้น ภายใต้รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯใหม่ของไทยแล้ว ถึงแม้ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาคาดจะตอบรับผลลบเรื่องโครงสร้างราคาก๊าซฯ และผลการดำเนินงานที่ยังไม่สดใส และการฟื้นตัวล่าช้าจากจีนไปแล้วระดับหนึ่ง แต่ในช่วงสั้นยังไม่มีปัจจัยเร่งบวกเข้ามา 

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2566 สะท้อนผลประกอบการงวด 4Q66 ที่ย่ำแย่กว่าที่เคยประเมินไว้ โดยมูลค่าพื้นฐานปี 2567 อยู่ที่ 10.9 บาท/หุ้น ช่วงสั้นคาดราคาหุ้นยังถูกกดดันจากแนวโน้มงบ 4Q66 ที่อ่อนแอ และความเสี่ยงงดจ่ายปันผลทั้งปี 2566 ช่วงสั้นปรับลดคำแนะนำเป็น underperform เน้นเพียงหาจังหวะเข้า trading ช่วงสั้นตามทิศทางค่าการกลั่นที่อาดดีดตัวขึ้นเป็นระลอก

แม้ระยะกลาง-ยาว มองบวกต่อการดำเนินงานหลังยุติลงทุนใน Red Lobster แต่ระยะสั้นที่จะเห็นผลขาดทุนสูงใน 4Q66 และปี 2566 รวมถึงความไม่แน่นอนของการจ่ายเงินปันผล 2H66 คงแนะนำชะลอลงทุนช่วงสั้น รอความชัดเจนของตัวเลขผลประกอบการและเงินปันผล โดยหาจังหวะเข้าสะสมรอบใหม่ หลังประกาศงบ (19 ก.พ.) รับการฟื้นตัวของกำไรปี 2567 ที่คาดมี upside เพิ่ม 7% จากประมาณการ

คงประมาณการเดิม ภายใต้สมมติฐานอนุรักษ์นิยมกว่าบริษัท โดยคาด Presale 2.7 หมื่นล้านบาท, ยอดโอนฯ 2.3 หมื่นล้านบาท, ส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วม 3.55 พันล้านบาท คาดหนุนกำไรปกติเติบโต 22% yoy ที่ 7.3 พันล้านบาท (ยังไม่รวมขายสินทรัพย์) และ FV ปี 2567 ที่ 10.00 บาท แนะนำ Outperform คาดกำไรสุทธิ 4Q66 เด่น YoY และ QoQ พร้อมปันผล 2H66 หุ้นละ 0.35 หรือราว 4.4%

ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี 2567 ปรับลงมาราว 10% สวนทางกับปัจจัยพื้นฐานที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลง โดยคาดทิศทางกำไรปกติ 4Q66 เติบโต YoY และต่อเนื่อง 1Q67 (ดีขึ้นทั้ง YoY,QoQ) หนุนจาก Easy E-Receipt ขณะที่ทั้งปั 2567 ประเมินกำไรปกติยังเติบโต 7.4% เป็น 1.56 หมื่นล้านบาท จากทุกธุรกิจ จึงคงแนะนำ Outperform ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567  เท่ากับ 83.0 บาท

แนวโน้มกำไร 4Q66 ที่น่าจะออกมาต่ำกว่าที่ฝ่ายวิจัยเคยประเมินไว้ ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรปี 2566 เหลือ 633 ล้านบาท แม้จะมีการปรับประมาณการกำไรลดลง แต่ผลประกอบการของ DRT ถือว่าดีมากเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างตัวอื่นๆ ในขณะนี้ ประเมิน Fair Value อิง DDM ได้ราคาเหมาะสม 9.40 บาท คิดเป็น implied PER ที่ 11 เท่า มี upside 13.3% และ dividend yield 6.3% ให้คำแนะนำการลงทุนที่ outperform

การตอบรับที่ดีของผู้ชมต่อภาพยนตร์ไทย เป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อ MAJOR ที่มีการลงทุนเพิ่มจำนวนโรงภาพยนตร์ในต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจอื่นๆมีแผนการต่อยอดสร้างรายได้และลดต้นทุนเพิ่มเติม โดยปี 2567 ยังมีตัวช่วยกำไร เพิ่มเติมจากรายการสินทรัพย์ทางภาษีที่ยังไม่ได้รับรู้อีกราว 140 ล้านบาท ประเมินราคาเหมาะสมได้ที่ 20.00 บาท ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform   

ปรับลดคาดการณ์เงินปันผลตั้งแต่ปี 2566 ภายใต้การปรับลดสมมติฐานอัตราเงินปันผลจ่ายลงเหลือ 30% จากเดิม 40% ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของ TOP ในปัจจุบันที่ต้องใช้เงินไปลงทุนโครงการ CFP ซึ่งภายใต้ประมาณการใหม่มูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2567 จะอยู่ที่ 59 บาทต่อหุ้น (เดิม 61) ยังให้น้ำหนักการลงทุนด้านพื้นฐานในลักษณะ trading สะสมขณะที่หุ้นย่อตัว เพราะเชื่อว่าจะเห็นจังหวะการดีดตัวของราคาหุ้นได้เป็นระลอกๆตามทิศทางค่าการกลั่น แต่ทั้งนี้ช่วงสั้นยังมีประเด็นข่าวเรื่อง unplanned shutdown ที่ยังไม่ชัดเจนเป็นความเสี่ยง

ฝ่ายวิจัยมีการปรับลดประมาณการกำไร 4% ให้อนุรักษ์นิยมขึ้น แม้คาดทำให้กำไรสุทธิปี 2567 ทรงตัว YoY และได้ FV ใหม่ที่ 106 บาท  แต่ด้วย Div Yield สูงสุดในกลุ่มฯ ราว 7% - 8% ผสานกับแนวโน้ม ROE ที่ 15% - 17% มากสุดในกลุ่มฯ อีกทั้ง Tier-1 ค่อนข้างแกร่งที่ 18.9% (ขั้นต่ำตามเกณฑ์ ธปท. ที่ 8.5%) ด้วย 3 เหตุผลข้างต้น ประกอบกับ SET Index ยังผันผวน จึงประเมินว่าหุ้นที่ให้ Div yield สูงและมีโครงสร้างทางการเงินแกร่ง เคลื่อนไหวชนะ SET Index อย่างน้อยจนถึงช่วงก่อน XD (ปลาย เม.ย.) จึงคงแนะนำ Outperform    

ปี 2567 ผลประกอบการครึ่งปีแรกยังต้องเผชิญความเสี่ยงเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลต่อ Spread ธุรกิจปิโตรเคมี ในขณะที่โรงงานปิโตรเคมีแห่งใหม่ที่เวียดนามยังสร้างผลขาดทุนในช่วงเริ่มต้นของการดำเนินงาน โอกาสการลงทุนน่าจะเป็นช่วงครึ่งหลังของปี ลดน้ำหนักลงทุนเป็น Underperform  

แนะนำ outperform ที่ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 12.20 บาท คาดทิศทางกำไรปกติ 4Q66 ฟื้นตัว qoQ (แต่ลดลง yoy) และปี 2567 ประเมินกำไรปกติกลับมาเติบโต 10% yoy หนุนจากเปิดแนวราบใหม่ และส่งคอนโดฯ ใหม่มากขึ้น ด้านราคาหุ้นมี Norm PER 7 เท่า และคาดปันผลกว่า 7% ต่อปี โดยคาด 2H66 หุ้นละ 0.50 บาท หรือ 5.6%

หากกำไร 4Q66 เป็นไปตามคาด จะทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2566 ของเราที่ 8.2 พันล้านบาท มี upside ราว 3% - 4% เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี  2567 ไว้ที่ 10.6 พันล้านบาท (+29% YoY) และราคาเป้าหมายที่ 37.00 บาท (อิง PER 36.9 เท่า) รวมทั้งคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 4Q66 ที่จะออกมาดี, 2) มีปัจจัยหนุนต่อใน 1Q67 จาก Easy E-receipt และเทศกาลตรุษจีน และ 3) ราคาหุ้นยัง Laggard กลุ่ม โดยปรับขึ้นเพียง 3% YTD

SETBANK ลบ 2.3% YTD VS SET Index ลบ 0.54% YTD ท่ามกลางแรงกดดันจากกระแสดอกเบี้ยกลับทิศ และความกังวลด้านคุณภาพสินทรัพย์ของลูกหนี้รายใหญ่บางราย แต่คาดหวัง PBV ในระดับต่ำของ ธ.พ. ใหญ่ และการใกล้ฤดูปันผล ช่วย Limit downside ของราคาหุ้น โดยให้น้ำหนักการลงทุนไปยัง ธ.พ. เล็ก ที่ได้เปรียบหากดอกเบี้ยนโยบายปรับลง เลือก TISCO คาด Div yield 8% ต่อปี ด้าน ธ.พ. ใหญ่ เลือก KBANK จาก Coverage Ratio เริ่มมีพัฒนาการดีขึ้น และ Valuation น่าสนใจมี PBV 0.6 เท่า, Div Yield 3.5% ต่อปี ส่วนชอบน้อยสุดคือ KKP แม้ได้ประโยชน์หากดอกเบี้ยลดลง แต่กังวลคุณภาพสินทรัพย์มากกว่า      

คงคาดกำไรปกติปี 2567 จะกลับมาเติบโต 26.5% เป็น 2.88 พันล้านบาท จากคาดการณ์ 2.27 พันล้านบาทในปี 2566 จากแนวโน้มปริมาณคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น, การเจาะตลาดและขยายฐานลูกค้าใหม่, การเพิ่มสัดส่วนขายในกลุ่ม Premium รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิตจากโรงงานใหม่ คงแนะนำ Outperform ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 23.00 บาท โดยหาจังหวะลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว

ปรับลดประมาณการเบื้องต้นของทั้ง PTT และ PTTGC เพื่อสะท้อนประเด็นดังกล่าวกระทบ PTT และ PTTGC ซึ่งจะกระทบกำไรของ PTT ราว 1.5-2.0 หมื่นล้านบาทต่อปี และจะกระทบกำไรของ PTTGC ราว 5.0-7.0 พันล้านบาทต่อปี และรวมผลกระทบจากการเรียกเก็บเงิน Shortfall 4.3 พันล้านบาท คืนให้กับภาครัฐของ PTT ด้วย  ส่งผลให้มูลค่าพื้นฐานใหม่ของ PTT ลดลงมาอยู่ที่ 36 บาท/หุ้น (เดิม 41 บาท)และ PTTGC ลดลงมาอยู่ที่ 36 บาท/หุ้น (เดิม 48 บาท) แนะนำ Underperform ทั้ง PTT และ PTTGC

ปรับลดประมาณการเบื้องต้นของทั้ง PTT และ PTTGC เพื่อสะท้อนประเด็นดังกล่าวกระทบ PTT และ PTTGC ซึ่งจะกระทบกำไรของ PTT ราว 1.5-2.0 หมื่นล้านบาทต่อปี และจะกระทบกำไรของ PTTGC ราว 5.0-7.0 พันล้านบาทต่อปี และรวมผลกระทบจากการเรียกเก็บเงิน Shortfall 4.3 พันล้านบาท คืนให้กับภาครัฐของ PTT ด้วย  ส่งผลให้มูลค่าพื้นฐานใหม่ของ PTT ลดลงมาอยู่ที่ 36 บาท/หุ้น (เดิม 41 บาท)และ PTTGC ลดลงมาอยู่ที่ 36 บาท/หุ้น (เดิม 48 บาท) แนะนำ Underperform ทั้ง PTT และ PTTGC

แม้ทิศทางธุรกิจโดยรวมปีนี้ดูมีความหวังมากกว่าปีก่อน โดยเฉพาะด้าน Demand ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอาเซียน แต่ความผันผวนของต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่ยังคงมีอยู่จากปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ฝ่ายวิจัยพิจารณาปรับลดประมาณการกำไรปี 2567-2568 ลงอีกเล็กน้อย ได้ราคาเหมาะสมใหม่อยู่ที่ 45.00 บาท ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral

แม้คาดกำไรปกติ 4Q66 อ่อนตัว QoQ และ YoY แต่เชื่อว่ากำไรปกติทั้งปี 2566 ยังทำ New High ที่ 5.2 พันล้านบาท และนำไปสู่เงินปันผลระหว่าง 2H66 หุ้นละ 0.09 บาท จูงใจเฉลี่ย 4.9% ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี Norm PER ซื้อขายเฉลี่ย 6.7 เท่า และ PBV 0.6 เท่า คงแนะนำ Outperform สำหรับธีม Dividend Play ที่ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 2.20 บาท

แนะนำ Outperform มูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 4.80 บาท จากความน่าสนใจของทิศทางกำไรปกติ 4Q66 สูงสุดของปี เพิ่มขึ้น QoQ (แต่ลดลง YoY) และการกลับมาเติบโตของกำไรปี 2567 หนุนจากโอนฯ 2 คอนโดฯ ใหม่ ด้านราคาหุ้นมี PER ซื้อขายเฉลี่ย 6 เท่า พร้อมคาดหวังปันผล 2H66 หุ้นละ 0.16 บาท หรือ 4.7%

มุมมองธุรกิจปีนี้ดูดีขึ้นกว่าปีก่อนจากแรงกดดันด้านต้นทุนที่ลดลง และค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลงมากหลังผ่านการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ปรับประมาณการกำไรปี 2567-68 ขึ้น ประเมิน FAIR VALUE อิง PER 17 เท่า ให้ราคาเหมาะสม 160 บาท พร้อมรับเงินปันผลเต็มปี 8.00 บาท/หุ้น เพิ่มน้ำหนักลงทุนเป็น Outperform

คงประมาณการกำไรปกติปี 2566 ที่ 6.09 พันล้านบาท และคาดยกฐานสูงต่อเนื่องเป็น 6.28 พันล้านบาทปี 2567 พร้อมนำไปสู่การจ่ายเงินปันผลรอบปี 2566 หุ้นละ 0.68 บาท (จ่ายปีละครั้ง) คิดเป็น Div Yield ราว 6% ต่อปี ขณะที่ PER ซื้อขายต่ำกว่า 6 เท่า จึงแนะนำ Outperform สำหรับธีม Dividend Play ที่ราคาเหมาะสมสิ้นปี 2567 เท่ากับ 16.00 บาท 

มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 180 บาทต่อหุ้น ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบตั้งแต่ปี 2567 ที่ 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล แม้ภาพปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง แต่ราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นลงตามราคาน้ำมัน ดังนั้นในระหว่างทางยังคงแนะนำในลักษณะ trading ตามราคาน้ำมันอยู่

เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีก “มากกว่าตลาด” เนื่องจากยังมีปัจจัยบวกอื่นๆหนุนการเติบโตของกำไรกลุ่มใน 4Q66 บวกกับคาดแนวโน้มที่สดใสขึ้นใน 1Q67 จากมาตรการ “Easy E-receipt” ที่จะมาช่วยหนุนการจับจ่าย ทำให้ยังคาดกำไรโดยรวมของกลุ่มในปี 2566 - 2567 จะโตได้ราว 11% YoY และ 21% YoY ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาด โดยเลือก CRC และ DOHOME เป็นหุ้น Top picks เพราะคาดว่าในระยะสั้นหุ้นทั้ง 2 ตัว จะ Outperform ตลาดได้ เนื่องจาก 1) คาด DOHOME จะมีกำไร 4Q66 ที่ออกมาดี (โตทั้ง QoQ และ YoY), 2) ทั้ง 2 บริษัท ได้ประโยชน์จาก Easy E-receipt ด้วย, 3) คาดกำไรปี 2567 ของทั้ง CRC และ DOHOME โต 24% และ 77% ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตของกำไรกลุ่ม และ 4) ราคาหุ้นของทั้ง CRC และ DOHOME ยัง laggard กลุ่ม โดยปรับลดลง 4% - 7% YTD ขณะที่หุ้นอื่นๆที่ฝ่ายวิจัยศึกษาต่างปรับขึ้นแล้ว 

แม้ยอดขาย 4Q66 ชะลอตัว แต่การมี Backlog รอส่งมอบราว 8.5 พันล้าบาทคาดผลักดันกำไร 4Q66 ฟื้นตัว QoQ (แต่ยังลดลง YoY) ขณะที่ปี 2567 คาดกำไรกลับมาเติบโตจากฐานต่ำ และมีแรงหนุนจากเปิดแนวราบใหม่, ส่งมอบ 5 คอนโดฯ ใหม่ และส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนเพิ่มในออสเตรเลีย ขณะที่ราคาหุ้นมี PER ซื้อขายเฉลี่ย 6 เท่า พร้อมคาดปันผล 2H66 ที่ 3.7% และทั้งปีไม่ต่ำกว่า 7% ต่อปี 

ปรับเพิ่มประมาณการกำไรตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป เพื่อสะท้อนการรวมธุรกิจดังกล่าวไว้ในประมาณการ ส่งผลให้ FV ใหม่อยู่ที่ 10.9 บาท/หุ้น (เดิม 10.2 บาท) อย่างไรก็ตาม ช่วงสั้นคาดกำไร 4Q66 ปรับตัวลดลงสอดคล้องภาพรวมกลุ่มฯ จึงเน้น TRADING ตามประเด็นบวกจากการเข้าลงทุนดังกล่าวด้วยความระมัดระวัง

คาดการณ์กำไรปี 2567-2569 เติบโตเฉลี่ยปีละ 9.0% โดยการเติบโตจะมาจากการขยายโรงพยาบาลใหม่และจำนวนเตียงผู้ป่วย  รวมไปถึงการขยายตลาดไปยังอุตสาหกรรมสุขภาพมากขึ้น ประเมินราคาเหมาะสมภายใต้วิธี DCF ได้ที่ 31.50 บาท เทียบเท่า Implied PER ปี 2567 ที่ 32.5 เท่า ให้น้ำหนักการลงทุน “OUTPERFORM”  

คงแนะนำ Underperform เพราะมองคุณภาพสินทรัพย์ฟื้นตัวช้ากว่ากลุ่มฯ ประกอบกับแนวโน้ม ROE ลดลงต่อเนื่องจาก 14% ในปี 2565 เหลือ 9% ในปี 2568 สอดรับกับอัตราการเติบโตของกำไรที่ต่ำลง และคาดอัตราการจ่ายปันผลยังไม่เด่นเท่าอดีต ซึ่งกลุ่ม ธ.พ. ขนาดเล็กชอบ TISCO(FV@B109) ที่แนวโน้ม ROE ที่ 16% - 17% และคาด Div yield ราว 7% - 8% ต่อปี สูงกว่า KKP ที่ 5% – 5.5%                      

ฝ่ายวิจัยยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางธุรกิจของ BEM ในระยะยาวจากความสมบูรณ์ของเครือข่ายรถไฟฟ้าที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามจำนวนผู้ใช้ทางด่วนที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่ฝ่ายวิจัยเคยคาดไว้ ทำให้ต้องปรับลดประมาณการกำไรปี 2566-68 ลงเล็กน้อยบนสมมุติฐานที่ระมัดระวังมากขึ้น  ส่งผลให้ราคาเหมาะสมวิธี DCF ลดลงจาก 11.50 บาท เหลือ 11.00 บาท  ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform 

ลุ้น Fund flow จากกองทุน TESG, SET50 ที่อิงกับ Free float มากขึ้น ส่วนทางพื้นฐาน คาด PBV ในระดับต่ำของ ธ.พ. ใหญ่ ช่วย Limit downside ของราคาหุ้น อีกทั้งแนวโน้มกำไร 1Q67 พลิกกลับมาฟื้นตัว QoQ หลังไม่มี OPEX ตามฤดูกาลเหมือน 4Q66 ผสานกับการใกล้เข้าสู่ฤดูกาลปันผล ภาพรวมประเมินเป็นปัจจัยผลักดันราคาหุ้นช่วง ม.ค. 67 สำหรับ ธ.พ. ใหญ่ เลือก KBANK จากพัฒนาการของ Coverage Ratio และ pBV 0.6 เท่า พร้อม Div yield 3.3% ส่วน ธ.พ. เล็ก เลือก TISCO ที่ Div yield 8% ไม่ใช่แค่สูงสุดในกลุ่มฯ แต่สูงสุดใน SET50 ซึ่งทั้งคู่ได้ SET ESG Ratig ที่ AAA ด้าน BBL ยังชอบจาก Coverage Ratio สูงสุดในกลุ่มฯ รวมถึงสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยต่ำกว่ากลุ่มฯ ทำให้ผลจากมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนน้อยกว่ากลุ่มฯ อีกทั้ง PBV 0.5 เท่า และ Div Yield 4% 

หากการดำเนินงานใน 4Q66 เป็นไปอย่างคาด จะทำให้ TRUE ขาดทุนปกติรวมสำหรับปีนี้ที่ 7.3 พันล้านบาท ใกล้กับประมาณการของเรา จึงยังคงประมาณการไว้ตามเดิม และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ไว้ที่ 8.50 บาท ซึ่งแม้จะมี upside สูง แต่เราคงคำแนะนำ “Neutral” เพราะ 1) ระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่หนุน แม้งวด 4Q66 ผลประกอบการดูดีขึ้น แต่ยังขาดทุน และ 2) Synergy จากการควบรวมที่เข้ามาช้า ซึ่งทำให้ภาพการดำเนินงานใน 1-2 ปีข้างหน้า จะยังคงขาดทุนต่อ

เราต้องปรับประมาณการกำไรปี 2566 – 67 ของ INTUCH ลง 0.5% - 2.8% ตามการปรับปรุงกำไรของ ADVANC ไปก่อนนี้ เพื่อสะท้อนการเข้าซื้อ TTTBB และ JASIF ที่แม้คาดฉุดกำไรในระยะสั้น แต่จะหนุนการเติบโตในระยะยาว ซึ่งทำให้ราคาเป้าหมายของ INTUCH ปรับขึ้นจาก 90 บาท เป็น 91 บาท (คิดส่วนลด 10% จาก NAV ที่อิงราคาเป้าหมาย ADVANC ที่ 266 บาท) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะคาดกำไร 4Q66 จะออกมาดี ระยะถัดไปกำไรงวด 1Q67 ยังมีแนวโน้มสดใส 

จากการฟื้นตัวของผลประกอบการ 4Q66 และกลับมาเติบโตของกำไรปกติปี 2567 ระดับ 22% จากฐานต่ำปี 2566 ขณะที่การจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ โดย 2H66 คาดหุ้นละ 0.35 บาท หรือ 4.4% และ 6.6% ในปี 2567 (ยังไม่รวมปันผลเพิ่มเติมจากขายสินทรัพย์ปีหน้า) แนะนำ Outperform ราคาพื้นฐานที่ 10.00 บาท สำหรับ LH ซึ่งถือเป็นหนึ่งตัวเลือกหุ้นคุณค่าที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ชอบปันผล

จากทิศทางกำไรจะฟื้นตัวมากขึ้นใน 4Q66 และการกลับมาเติบโตของกำไรรอบใหม่ปี 2567 ในระดับ 26.5% เท่ากับ 2.87 พันล้านบาท หลังระดับสินค้าคงคลังของลูกค้ากลับสู่ระดับปกติ หนุนคำสั่งซื้อเพิ่ม และต้นทุนปลาทูน่าไม่สูงเหมือนปีนี้ คงแนะนำ Outperform ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 23.00 บาท 

เบื้องต้นภายใต้สมมติฐานที่กำหนดคาดจะเพิ่มกำไรต่อปีได้ราว 1.0-1.2 พันล้านบาท และเพิ่มมูลค่าพื้นฐานราว 2 บาทต่อหุ้น ทำให้มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 มาอยู่ที่ 180 บาทต่อหุ้น (เดิม 178 บาทต่อหุ้น) อ้างอิงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 66 และตั้งแต่ปี 67 ที่ 90 และ 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ภาพปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง แต่ราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นลงตามราคาน้ำมัน ดังนั้นในระหว่างทางยังคงแนะนำในลักษณะ trading ตามราคาน้ำมันอยู่

คาด PBV ในระดับต่ำของ ธ.พ. ใหญ่ ช่วย Limit downside ของราคาหุ้น ประกอบกับหวัง Fund flow จากกองทุน TESG และใกล้เข้าสู่ฤดูกาลปันผล ประเมินเป็นปัจจัยผลักดันราคาหุ้นในระยะ 3 เดือนข้างหน้า สำหรับ ธ.พ. ใหญ่ เลือก KBANK จากพัฒนาการของ Coverage Ratio และ pBV ซื้อขายเพียง 0.57 เท่า  ส่วน ธ.พ. เล็ก เลือก TISCO ที่มี  Div yield สูงสุดในกลุ่มฯ ซึ่งทั้งคู่ได้ SET ESG Ratig AAA ด้าน BBL ยังคงชอบจาก Coverage Ratio สูงสุดในกลุ่มฯ อีกทั้ง PBV ซื้อขาย 0.5 เท่า และคาด Div Yield ราว 4% ต่อปี 

ปรับเพิ่มประมาณการกำไรตั้งแต่ปี 2569 สะท้อนการรวมโครงการใหม่ ส่งผลให้ FV ใหม่ปี 2567 อยู่ที่ 3.6 บาท (ประกอบด้วยโครงการเดิม 3.0 บาท และมูลค่าโครงการใหม่ 0.6 บาท) ภาพกำไรช่วง 1-2 ปีข้างหน้ายังไม่โดดเด่น เนื่องจากยังไม่มีโครงการใหม่ๆเข้ามา แต่ช่วงสั้นคาดราคาหุ้นจะมีแรงหนุนจากประเด็นเชิงบวกดังกล่าว และแนวโน้มกำไร 4Q66 ที่สดใส 

อิง DCF ปรับลด Terminal growth rate จาก 2% เหลือ 1.5% จากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ได้ FV ใหม่ปี 2567 ที่ 35 บาท (เดิม 38 บาท) แนะนำ Outperform จากแนวโน้มการฟื้นตัวของกำไรรายปี ขณะที่ราคาหุ้น YTD ลบ จากความกังวลด้านราคาพลังงาน  สวนทางราคาหุ้นโรงแรมในยุโรปมากเกินไป ประกอบกับวัฎจักรดอกเบี้ยขาลงใน EU เอื้อต่อ MINT ทั้งในเชิงดอกเบี้ยจ่ายและเปิดโอกาสในการทำ M&A มากขึ้น อีกทั้งโอลิมปิก 2024 ที่ปารีส น่าจะสร้าง Sentiment ที่ดีให้กับหุ้นที่มีโครงสร้างรายได้ใน EU อย่าง MINT 

คงประมาณการ และประเมินมูลค่าพื้นฐาน ปี 2567 ภายใต้วิธี DCF อยู่ที่ 11.0 บาท ช่วงสั้นคาดกำไรปกติงวด 4Q66 ลดลง QoQ ส่วนภาพระยะยาวคงต้องรอกำไรปกติฟื้นค่อยๆฟื้นตัวหลังจากปี 2567 เป็นต้นไป  แต่ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อเติมเต็มฐานกำไรเดิม ช่วงสั้นจึงเน้นรอหาจังหวะเข้าลงทุนตามรอบฤดูกาลของน้ำและช่วง peak ของกลุ่มโรงไฟฟ้าใน USA ใน 3Q67 จะปลอดภัยกว่า

หากกำไร 4Q66 เป็นไปอย่างคาด จะทำให้กำไรรวมปี 2566 ใกล้เคียงกับคาดการณ์ ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรปี 2566 – 67 ตามเดิมที่ 3.0 – 3.1 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 266 บาท โดยเชื่อว่าหุ้นADVANC จะยัง Outperform ตลาดได้เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 4Q66 ที่จะออกมาโตทั้ง QoQ และ YoY, 2) คาดปันผล 2H66 ที่ 2% และปี 2567 ที่ 4.1% ซึ่งยังจูงใจ 3) มี upside ระยะยาวจากดาต้าเซ็นเตอร์ที่ทำกับGULFและสิงเทล 

การลงทุนข้างต้น เป็นการขยายการลงทุนเพิ่มเติมในออสเตรเลีย และเป็นอีกแรงขับเคลื่อนต่อกำไรสูงมากขึ้น โดยประเมินโครงการใหม่จะสร้างส่วนแบ่งกำไรปี 2567 เพิ่มราว 300-400 ล้านบาท (เริ่มตั้งแต่ 2Q67) คิดเป็นกำไรส่วนเพิ่มเฉลี่ย 5% จากฐานกำไรปีหน้าที่คาดไว้ 6.6 พันล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้รวมในประมาณการ

แนะนำ Outperform มูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 4.80 บาท จากทิศทางกำไร 4Q66 จะสูงสุดของปี และกำไรจะกลับมาเติบโต 9% ในปี 2567 ขับเคลื่อนจากส่งมอบ 2 คอนโดฯ ใหม่ ขณะที่ราคาหุ้นมี PER ซื้อขายเพียง 5 เท่า คาดปันผล 2H66 หุ้นละ 0.16 บาท หรือ 5.2% และสูงขึ้นเป็น 8% ในปี 2567

การรักษาฐานกำไรที่สูงต่อเนื่องในปีหน้า แม้เป็นเรื่องท้าทายแต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หลังกระแสหนังไทยถูกจุดติด ช่วยสร้างกำลังใจให้กับผู้สร้างหนัง ส่งผลบวกต่อธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งธุรกิจ Popcorn และธุรกิจโฆษณา  พร้อมต่อยอดธุรกิจ Popcorn นอกโรงหนัง และการควบคุมค่าใช้จ่ายให้ Lean ลงอีก ประเมินราคาเหมาะสมปี 2567 วิธี DCF ได้ที่ 20.00 บาท ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform   

ภายใต้ Bond Yield สหรัฐฯ ปรับตัวลง ตามโอกาสจบรอบวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในต่างประเทศ คาดสร้างความน่าสนใจให้กับหุ้นที่ให้ Div Yield สูงราว 7% - 8% ต่อ Fund Flow ต่างชาติมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการได้ SET ESG Rating ที่ AAA (กลุ่มฯ มีอีก 2 ธนาคารที่ได้ AAA คือ KBANK และ KTB) ลุ้นดึงดูดกระแสเงินทุนจากกองทุน TESG ในด้านพื้นฐานด้วย Div Yield, BIS Ratio และ ROE ล้วนสูงสุดในกลุ่มฯ จึงคงแนะนำ Outperform

จากความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่ จนกว่าเห็นการแก้ไขอย่างสมบูรณ์และเป็นรูปธรรม ทำให้บริษัทต้องรักษาสภาพคล่อง เพื่อความอยู่รอด โดยเลื่อนเปิดโครงการใหม่ปีนี้ และเน้นระบายสต๊อก พร้อมมีแผนขายสินทรัพย์ เพื่อชำระคืนเงินกู้ ขณะที่ผลประกอบการยังมีความเสี่ยงขาดทุน แนะนำ underperform ราคา 0.70 บาท

ปรับปรุงประมาณการกำไรปี 2567 เป็นต้นไป เพื่อสะท้อนการถอดโครงการ solar ญี่ปุ่น ออกจากประมาณการ อย่างไรก็ตาม คาดมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดตลอดอายุสัญญาที่เหลือ ยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับกำไรจากการขายหุ้น จึงคง FV ปี 2567 ภายใต้วิธี DCF ที่ 11.0 บาท ช่วงสั้นกำไรงวด 4Q66 ลดลง QoQ ส่วนภาพระยะยาวแม้กำไรปกติฟื้นตัว แต่ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อเติมเต็มฐานกำไรเดิม เน้นรอหาจังหวะเข้าลงทุนตามรอบฤดูกาลของน้ำจะปลอดภัยกว่า

แนะนำ Outperform ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 เท่ากับ 16.00 บาท (อิง PER 8 เท่า) จากทิศทางกำไร 4Q66 ยังเติบโต YoY พร้อมผลักดันกำไรปี 2566 ทำ New High เป็นปีที่ 4 ติดต่อกันที่ 6.09 พันล้านบาท และยกฐานสูงต่อเนื่องเป็น 6.28 พันล้านบาทปี 2567 ขณะที่ Valuation น่าสนใจด้วยระดับ PER ซื้อขายต่ำกว่า 6 เท่า และ Div Yield สูงกว่า 6% ต่อปี (นโยบายจ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง) 

กำไรปกติ 4Q66 คาดฟื้นตัว QoQ และเป็นจุดสูงสุดของปี จากยอดขายเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ ขณะที่กำไรปกติปี 2567 จะกลับมาเติบโต 16% เท่ากับ 5.8 พันล้านบาท หลังปัจจัยกดดันทั้งอุปสงค์ของลูกค้าชะลอตัวและราคาต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นคลี่คลายลง แนะนำ Outperform ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 18.70 บาท คาดเงินปันผล 2H66 หุ้นละ 0.40 บาท หรือ 2.7% และเพิ่มเป็น 5% ปี 2567

ด้าน sentiment อุตสาหกรรมนิคมฯ โดยรวมยังดีต่อเนื่อง สะท้อนจากการลงทุนจากต่างประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนและมูลค่าโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดจดทะเบียนรถ BEV ใหม่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2567 อิง PER 14.8 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 29.50 บาท มี upside 19.4% ให้คำแนะนำที่ outperform

แนะนำ Outperform ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 83.0 บาท จากปัจจัยหนุนทั้งเปิดโครงการใหม่, มาตรการ E-REFund และการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลส่งท้ายปี จะขับเคลื่อนกำไร 4Q66 เติบโต YoY (แต่อ่อนตัว QoQ จากค่าใช้จ่ายที่สูงเป็นปกติของทุกปี) พร้อมผลักดันกำไรทำ New High ปี 2566 และต่อเนื่องอีกหลายปีข้างหน้า ตามแผนลงทุนโครงการใหม่ไม่หยุดยั้งทั้ง Retail และ Non-retail

เนื่องจากงาน mega project ภาครัฐที่ไม่เข้ามาในปี 2567 เต็มตัว ส่งผลให้ปริมาณขายเติบโตน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ประกอบกับดอกเบี้ยจ่ายที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside 21.9% และมี Dividend Yield 7.8% แต่ในระยะสั้น ผลประกอบการยังไม่โดดเด่นเท่าที่ควร คงคำแนะนำที่ Neutral

เพื่อสะท้อนผลจากการเข้าซื้อ TTTBB และ JASIF เราได้ปรับปรุงประมาณการกำไรปี 2566 – 67 ลดจากเดิม 0.5% - 2.8% เพราะในช่วงแรก TTTBB จะยังขาดทุน แต่ปรับเพิ่มกำไรระยะยาวขึ้น เนื่องจากคาด TTTBB จะเริ่มสร้างกำไรให้ได้ในปี 2568 ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่อิงวิธี DCF เพิ่มจากเดิม 262 บาท เป็น 266 บาท คงคำแนะนำ “Outperform” จากกำไรปี 2566-67 ที่แม้จะรวมผลขาดทุนจาก TTTBB แล้วคาดยังโตได้เฉลี่ย 10% นอกจากนี้ยังคาดปันผลที่จูงใจ 4.0% - 4.2%

เข้าสู่แผนการเติบโตในระยะที่ 3 โดยการขยายโรงพยาบาลให้ครบ 20 แห่ง และขยายไปยังพื้นที่เขต EEC ในภาคตะวันออก อีกทั้งแนวโน้มการฟื้นตัวของกลุ่มผู้ป่วยภาคปกติทั้งผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติกลับมามากขึ้น ประเมินราคาเหมาะสมภายใต้วิธี DCF ได้ที่ 22 บาท เทียบเท่า Impiled PER ปี 2567 ที่ 31.49 เท่า มี upside อยู่ที่ 4.27% ให้น้ำหนักการลงทุน “NEUTRAL”

แม้ตลาดอสังหาฯ มีความท้าทายขึ้น แต่ SC มีความได้เปรียบจากการเป็นผู้เล่นหลักในตลาดบ้านระดับบนที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่ากลุ่มอื่น ขณะที่แผนลงทุนธุรกิจใหม่ (ENGINE 2) หวังเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ จะช่วยหนุนการเติบโตในระยะกลาง-ยาว คงแนะนำ Outperform มูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 4.80 บาท ราคาหุ้นมี PER ซื้อขายต่ำกว่า 6 เท่า และ Div Yield สูงกว่า 7% ต่อปี (จ่ายปีละ 2 ครั้ง)

เชื่อว่าผลประกอบการของ STEC น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2566 อย่างไรก็ตามฐานกำไรที่สูงใน 4Q65 จะทำให้เห็นการอ่อนตัวลงของกำไร 4Q66 แบบ YoY ส่วนปี 2567 เป็นต้นไป จะเห็นการทยอยฟื้นตัวทั้งส่วนของรายได้ก่อสร้างและอัตรากำไร ให้น้ำหนักลงทุน Neutral ประเมินมูลค่าเหมาะสมอิง PBV 1 เท่า ที่ 12.20 บาท 

ฝ่ายวิจัยปรับคำแนะนำของ TISCO จาก Neutral เป็น Outperform สะท้อนมุมมองดอกเบี้ยถึงปลายทาง, ROE, Div yield และ BIS Ratio สูงสุดในกลุ่มฯ อีกทั้งได้ SET ESG Rating AAA เกาะกระแสการตั้งกองทุน TESG  เลือกเป็น Top pick คู่กับ KBANK ที่ได้ SET ESG Rating ที่ AAA ทางพื้นฐาน Coverage Ratio มีพัฒนาการดีขึ้น และการตั้ง Credit cost ที่สูงในปีนี้และการบริหารจัดการ NPL เชิงรุกต่อเนื่อง  มีโอกาสช่วยให้แนวโน้ม Credit cost ลดลง หนุนการขยายตัวของกำไรปีหน้า ยามดอกเบี้ยถึงจุดสูงสุด ในเชิงราคาหุ้นปรับฐานมากสุดใน ธ.พ. ใหญ่ ทำให้ PBV ซื้อขาย 0.57 เท่า ส่วน BBL ชอบเพราะ Coverage ratio สูงสุดในกลุ่มฯ และ PBV 0.5 เท่า  

ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดประมาณการปี 66 สะท้อนปริมาณน้ำที่ต่ำกว่าสมมติฐาน และปรับสมติฐาน WACC ขึ้นมาอยู่ที่ 6.5% จากเดิม 4.5% เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดปัจจุบันที่มีความผันผวนสูง ส่งผลให้มูลค่าพื้นฐาน 67 อยู่ที่ 4.5 บาทต่อหุ้น ถึงแม้ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับฐานลงมาแล้วในระดับหนึ่ง แต่เนื่องจากกำไรผ่านจุดพีครายปีไปแล้ว และจะเข้าสู่ช่วงฤดูแล้งอีกครั้ง ประกอบกับภาพยาวต้องรอโครงการใหม่ต่อยอดกำไร จึงยังไม่เห็นปัจจัยบวกในการเข้าลงทุนช่วงสั้น

ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรปี 2566 ลง 15% สะท้อนกำไร 3Q66 ที่ต่ำคาดและแนวโน้มที่ยังฟื้นตัวไม่มากใน 4Q66 แต่ยังคงประมาณการกำไรปี 2567 ไว้เท่าเดิมบนความหวังเรื่องการฟื้นตัวของตลาดในประเทศเป็นหลัก ให้น้ำหนักลงทุน  Neutral ประเมิน Fair Value ปี 67 ลดลงจาก 23.20 บาท เหลือ 22.40 บาท 

อิง GGM ให้ PBV ที่ 2.1 เท่า ได้ FV ปี 2567 ที่ 48 บาท (เทียบเท่า PER ราว 12 เท่า) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต สอดรับกับ ROE ลดลงจาก 22% ในปี 2563 มาอยู่ที่ 18% ปี 2565 ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์มีปัจจัยที่ต้องจับตาจากสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ จึงให้คำแนะนำ Neutral พร้อมมองว่า TIDLOR > MTC เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าในกลุ่มฯ                

ถึงแม้ 4Q66 จะโดดเด่นมาก แต่ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปี 2566 ไว้เนื่องจากมีที่ดินบางสัญญาที่อาจโอนล่าช้าและส่งผลให้เลื่อนออกไปในช่วง 1Q67 แทน ประเมิน fair value ปี 2567 อิง Historical PER 10 ปี ย้อนหลัง ปรับเพิ่ม 0.5 S.D. สะท้อน outlook ทางธุรกิจในช่วงขาขึ้น อยู่ที่ 23 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 5.95 บาท มี upside 17.8% ให้คำแนะนำเป็น Outperform 

แนะนำ Outperform มูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 2.20 บาท นอกจากทิศทางกำไร 4Q66 ที่ยังยืนระดับสูงพอที่จะผลักดันกำไรทั้งปีทำ New High แล้ว ยังมีจุดน่าสนใจ คือ เงินปันผลจูงใจ ภายใต้คาดปันผล 2H66 หุ้นละ 0.09 บาท คิดเป็น Div Yield 5.4% ขณะที่ปี 2567 แม้ประเมินกำไรปกติลดลง แต่ยังคงให้ปันผลสูงกว่า 8% ต่อปี ด้านราคาหุ้นปัจจุบันมี Norm PER เฉลี่ย 6 เท่า และ PBV 0.6 เท่า

กำไรมีแนวโน้มทำจุดสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 ในขณะเดียวกันยังมีแผนการขยายเตียงพร้อมให้บริการอย่างต่อเนื่อง และศูนย์ส่งต่อผู้ป่วยไปยังตลาดใหม่อย่างยุโรปตะวันออก ราคาปัจจุบันให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ ประเมิน FV ปี 2567 อิงวิธี DCF ที่ 304 บาท ให้น้ำหนักการลงทุน outperform  

เบื้องต้นยังคงประมาณการ และปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 160 บาทต่อหุ้น โดยยังให้น้ำหนักการลงทุนไปที่ปันผลที่จ่ายอย่างสม่ำเสมอ ปีละ 2 ครั้ง Dividend Yield ต่อปีอยู่ราว 5%

ด้าน sentiment การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) สดใสมาก โดยสถิติการยื่นขอรับการลงทุนของต่างชาติ 9M66 มีจำนวนทั้งสิ้น 910 โครงการ                (+48%YoY) คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 398,527 ล้านบาท (+43%YoY) ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2567 อิง PER 14.8 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 29.50 บาท มี upside 27.7% ให้คำแนะนำที่ outperform

พื้นฐานแข็งแกร่ง ปัจจุบันมี Backlog คงเหลือเกือบ 2 หมื่นล้านบาท รองรับการสร้างรายได้ถึงปี 2568 และมีประเด็นเก็งกำไรได้งานประมูลใหม่มูลค่า 2.5-3.0 พันล้านบาท ที่จะทราบผลภายในปีนี้ ให้น้ำหนักลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมอิง Historical PBV 1.21 เท่า ที่ 7.00 บาท 

คงแนะนำ Neutral แม้ราคาหุ้นปรับตัวลงจนเริ่มเปิด Upside  แต่ประเมินราคาหุ้นยังขาด Catalyst ในการขับเคลื่อน ทั้งจากโทนการประชุมนักวิเคราะห์ สอดคล้องกับฝ่ายวิจัยและตลาด ประกอบกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยไทย / ทั่วโลก ถึงปลายทางขาขึ้น รวมถึงราคาหุ้น YTD ยังเป็นบวก Outperformed SET Index ที่ปรับฐาน YTD พอสมควร 

อิง DCF ให้ FV ปี 2567 ที่ 6.7 บาท คงแนะนำ Outperform จากทิศทางกำไรปกติไต่ระดับเป็นขั้นบันไดถึง 1Q67 หลังผ่าน Low season ของท่องเที่ยวไทย ขณะที่นับตั้งแต่เกิดเหตุกับนักท่องเที่ยวจีนที่สยาม พารากอน ราคาหุ้นปรับฐานราว 8% VS SET Index ลบประมาณ 4% ทำให้ Forward PER ซื้อขายปี 2567 ลงมาอยู่ที่ 25 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 2559 – 62 ที่ 36.4 เท่า ในขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนรายสัปดาห์เริ่มฟื้นตัว คาดเป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของราคาหุ้น                         

ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างดูมีความหวังมากขึ้นในปีหน้า แต่ปัญหาหลักอยู่ที่การบริหารจัดการภายในบริษัททั้งเรื่องอัตรากำไรและรายการพิเศษต่างๆๆซึ่งคาดการณ์ได้ยาก  ประเด็นที่พอเก็งกำไรได้คือกำไรจากการขายเงินลงทุนธุรกิจโปแตซไปบางส่วน แนะนำ Neutral ราคาเหมาะสมปี 2567 อยู่ที่ 1.89 บาท 

ปรับประมาณการกำไรปี 66-67 ลง สะท้อนส่วนแบ่งขาดทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง แต่เชื่อจุดต่ำสุดน่าจะผ่านไปแล้วในปี 2566 เริ่มมีความหวังมากขึ้นต่อธุรกิจก่อสร้างในปีหน้า บวกกับการ Diversify ไปสู่ธุรกิจใหม่ที่จะมีมากขึ้นเรื่อยๆในอนาคต แนะนำ Neutral ประเมินมูลค่าเหมาะสม 12.20 บาท อิง PBV 1 เท่า  

คาดกำไร 4Q66 ฟื้นแรง QoQ หนุนจากมี Backlog รอรับรู้รายได้ 8.47 พันล้านบาท, ขายโอนฯ แนวราบใหม่ที่เปิด 4Q66 และคอนโดฯ พร้อมอยู่ รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากออสเตรเลียสูงขึ้น ขณะที่ปี 2567 คาดกำไรกลับมาเติบโต 10% เป็น 6.66 พันล้านบาท หนุนจากโอนฯ 5 คอนโดฯ ใหม่ และเปิดแนวราบเพิ่ม ปรับเพิ่มเป็น Outperform ดึงดูดด้วยปันผลกว่า 7% ต่อปี และ PER ต่ำกว่า 6 เท่า

คงประมาณการเดิม คาดกำไร 4Q66 ฟื้นตัวขึ้น QoQ นอกจากมาร์จิ้นขายฯ ที่จะกลับสู่ปกติ ยังมีการส่งมอบคอนโดฯ ใหม่ และขายโอนฯ แนวราบใหม่ที่เปิด 4Q66แนะนำ Outperform มูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 12.20 บาท ราคาหุ้นมี Norm PER ซื้อขายเฉลี่ย 7-8 เท่า รวมถึงคาดหวัง Div Yield สูงระดับ 7-8% ต่อปี 

ปรับลดประมาณการสะท้อนงบ 9M66 ที่ย่ำแย่กว่าคาด และปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 34 บาทต่อหุ้น คาดราคาหุ้นผ่านการปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบแล้วระดับหนึ่งจนมี Downside จำกัด แต่ต้องรอการฟื้นตัว โดยให้น้ำหนักการฟื้นตัวของกำไรอยู่ในช่วง 1H67 ด้วยความหวังจะมีช่วงฤดูกาลของ PET เป็นปกติ

อยู่ในจุดที่ดีที่สุดของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจก่อสร้างที่มี Backlog รองรับการสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี และธุรกิจลงทุนผ่านบริษัทลูกทั้ง 3 แห่ง คือ BEM,CKP และ TTW ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมปี 2567 ภายใต้วิธี Sum of the Part ได้ 29.00 บาท เทียบเท่า Implied PER 22.7 เท่า

ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรทั้งปี 2566 ลงมาอยู่ที่ 7.0 พันล้านบาท เพื่อสะท้อนงบ 9M66 ที่แย่กว่าที่คาดไว้ และปรับสมติฐานWACC ขึ้นมาอยู่ที่ 6.5% จากเดิม 5.0% เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดปัจจุบันที่มีความผันผวนสูง ภายใต้หลักความระมัดระวัง และปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานปี 67 ที่ 42 บาท/หุ้น แนะนำหาจังหวะสะสมลงทุนรับปันผลในระดับที่ดี Dividend Yield ต่อปีเฉลี่ย 5-6%

ปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 46 บาทต่อหุ้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวขึ้นโดดเด่นสะท้อนทั้งประเด็นเข้าซื้อ ESSO รวมถึง Outlook ค่าการกลั่นที่แข็งแรงในช่วง 3Q66 จากนี้ราคาหุ้นอาจมีการปรับฐานตามกรอบค่าการกลั่น และราคาน้ำมันที่เปลี่ยนแปลงขึ้นลงเป็นช่วงๆ แล้วค่อยหาจังหวะทยอยสะสมเมื่อ Upside เปิดกว้าง จะได้รับผลตอบแทนที่จูงใจกว่า

คงประมาณการ และ FV ณ สิ้นปี 2567 ที่ 7.0 บาท/หุ้น ประกาศซื้อหุ้นคืน 6.55% ที่วงเงินไม่เกิน 810 ล้านบาท และจำนวนหุ้นซื้อคืนไม่เกิน 90.0 ล้านหุ้น ราคาสูงสุดที่จะซื้อคืนเฉลี่ยที่ 9.0 บาท/หุ้น ปัจจัยพื้นฐานระยะสั้นยังไม่สดใส ประกอบกับฐานกำไรปี 2568 ลดลง จาก Adder หมดจึงยังต้องรอโครงการใหม่ๆเข้ามาช่วยหนุน 

ปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 41 บาทต่อหุ้น แนะนำซื้อลงทุนระยะยาว จากกำไรที่ยังคงแข็งแกร่งจากการเป็น holding company อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นน่าจะผ่านการปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆไปแล้วระดับหนึ่ง รวมถึงเป็นหุ้นที่มีการจ่ายปันผลในระดับที่ดี จึงคาดผลตอบแทนลงทุนจะใกล้เคียงตลาด

แม้กำไรปกติ 9M66 มีสัดส่วน 66% ของคาดการณ์ทั้งปี แต่เรายังคงประมาณการกำไรปี 2566 – 2567 ที่ 8.0– 9.9 พันล้านบาท และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 48.00 บาท (อิง PER ที่ 29.3 เท่า) โดยปรับคำแนะนำจาก “Neutral” เป็น “Outperform” เพราะ 1) เชื่อว่ากำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 3Q66 และจะไต่สู่จุดพีคของปีใน 4Q66 และ 2) คาดได้ประโยชน์จากมาตรการกระเป๋าเงินดิจิทัล/E-refund  

การยกเลิก Sanction ต่อเวเนซูเอลา 6 เดือน เป็นโอกาสทองที่ TASCO จะเร่งนำเข้า Crude เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตยางมะตอย อย่างไรก็ตามราคาหุ้นที่ปรับขึ้นถือว่าได้รับข่าวไปแล้ว ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจากนี้ไปน่าจะเป็นไปตามภาวะตลาด ให้น้ำหนักลงทุน  Neutral ประเมิน Fair Value ปี 67 อยู่ที่ 23.20 บาท 

ทิศทางธุรกิจสื่อนอกบ้านสดใส เตรียมเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4 พร้อมเดินหน้าเก็บเกี่ยวผลตอบแทนการลงทุนต่อในปี 2567 จากการปรับขึ้นค่าโฆษณา หลังอัตราการใช้สื่ออยู่ในระดับสูงรวมถึงการขยายธุรกิจมวยไปต่างประเทศ ประเมิน Fair value ปี 2567 ได้ที่ 10.60 บาท  แนะนำ Outperform 

การเดินทางของผู้คนที่เพิ่มขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้า ภายใต้เครือข่ายคมนาคมขนส่งที่สมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ ช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตให้กับ BEM   พร้อมต่อยอดการเติบโตในอนาคตจากหลากหลายโครงการ ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี DCF ได้ที่ 11.50 บาท 

ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 2.5 บาท/หุ้น ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นมีการปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆไปแล้วระดับหนึ่ง จนมี downside ที่จำกัดมากขึ้น ถึงแม้ outlook ธุรกิจช่วง 4Q66 จะยังไม่สดใสมากนัก แต่เชื่อว่าภาพรวมจะค่อยๆเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นได้ และทยอยเข้าสู่ภาวะปกติในปี 2567

ปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 61 บาทต่อหุ้น เน้นการลงทุนลักษณะ trading สะสมขณะที่หุ้นย่อตัว เพราะเชื่อว่าจะเห็นจังหวะการดีดตัวของราคาหุ้นได้เป็นระลอกๆตามทิศทางค่าการกลั่น ซึ่งน่าจะยังอยู่ในกรอบสูงตามฤดูกาล

ปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 48 บาทต่อหุ้น ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาเชื่อว่าตอบรับผลการดำเนินงานที่ยังไม่สดใส และการฟื้นตัวล่าช้าจากจีนไปแล้วระดับหนึ่งจนมี Downside ที่จำกัด ซึ่งคาดแนวโน้มทิศทางธุรกิจจากนี้ไปน่าจะอยู่ในสถานการณ์ค่อยๆฟื้นตัว โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมี ทำให้คาดผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะสอดคล้องได้กับกลุ่มและตลาดได้ในภาพรวม

แม้กำไรช่วง 9M66 มีสัดส่วน 54% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี แต่เรามองว่าประมาณการของเราน่าจะมี downside ไม่มาก เพราะเชื่อว่ากำไร 4Q66 จะโตได้แรง จากผลบวกของฤดูกาล ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรสำหรับปี 2566 – 2567 ไว้ที่ 183 ล้านบาท – 275 ล้านบาท ตามลำดับ และราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 22.50 บาท (อิง PER ที่ 24.5 เท่า) เราแนะนำ “Outperform” จาก 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 3Q66 ที่ออกมาดี และ 2) ระยะถัดไปกำไร 4Q66 ยังดูสดใส

คงแนะนำ Outperform ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 83.0 บาท แม้กำไร 4Q66 มีโอกาสอ่อนตัว QoQ (แต่ยังโต YoY) จากปัจจัยเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงเป็นปกติของทุกปี แต่ภาพกำไรทั้งปี 2566 คาดทำ New High อยู่ที่ 1.45 หมื่นล้านบาท (+37% yoy) และยกฐานสูงเป็น 1.56 หมื่นล้านบาท (+7% yoy) ในปี 2567 หนุนจากการลงทุนโครงการใหม่ไม่หยุดยั้ง โดยปีหน้าจะเปิดศูนย์การค้าใหม่เพิ่มอีก 2 โครงการ

คงประมาณการ และมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 32 บาท/หุ้น แม้ประกอบการในช่วงสั้นจะลดลงต่อเนื่อง QoQ แต่ภาพใหญ่รายปียังเห็นกำไรทยอยฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง YoY ประกอบกับ sentiment เชิงบวกจากแนวโน้มค่า Ft ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในงวด ม.ค.-เม.ย. 2567 คงคำแนะนำ Neutral โดยเน้นทยอยสะสมลงทุนระยะยาว

ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2566 สะท้อนราคาถ่านหินและก๊าซฯที่ย่ำแย่กว่าสมมติฐาน และปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 8.7 บาทต่อหุ้น ถึงแม้ราคาหุ้นปัจจุบันจะมี upside แต่ในภาพรวมยังไม่เห็นปัจจัยบวกที่จะเข้ามาขับเคลื่อนราคาหุ้นได้ในช่วงสั้น จึงคาดผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม จึงเน้นเพียง trading ช่วงสั้นๆตามทิศทางราคาถ่านหินและก๊าซฯที่เปลี่ยนแปลงไป

แผนเปิดโครงการแนวราบใหม่จำนวนมาก และการส่งมอบต่อเนื่องของ Backlog แนวราบและคอนโดฯ รวมถึงการจัดกิจกรรมการตลาด จะช่วยสนับสนุนต่อยอดโอนฯ และกำไร 4Q66 ทำจุดสูงสุดของปี และดันกำไรปกติปีนี้ทำ New High ที่ 5.2 พันล้านบาท (+27% yoy) แนะนำ Outperform ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 2.20 บาท คาดปันผล 2H66 จูงใจระดับ 5.6% และเกือบ 9% สำหรับปี 2567

คงประมาณการ และปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 3.7 บาท/หุ้น ช่วงสั้นยังไม่มีปัจจัยบวกที่โดดเด่น จากผลประกอบการงวด 4Q66 ที่อ่อนตัวต่อเนื่อง และภาพระยะยาวที่กำไรเริ่มลดลง จาก Adder หมดในปี 2568  แต่อย่างไรก็ตามยังสามารถถือเพื่อรับปันผลที่โดดเด่น ซึ่งคาดหวัง dividend yield ได้กว่า 6%/ปี  

แม้ gross margin มีแนวโน้มกลับมาอยู่ระดับปกติ แต่ด้านปริมาณขายช่วง 4Q66 ยังซบเซาเนื่องจากเดือน ธ.ค. เป็นช่วงเทศกาลวันหยุด ประกอบกับปี 2567 TMT มีแผนที่จะเน้นไปที่เรื่องของการทำ solution สร้างมูลค่าเพิ่ม ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2567 อิง PER 12.0 เท่าได้ ราคาเหมาะสม 7.80 บาท มี upside 24.8% และมี Dividend Yield 8.0% ยังคงคำแนะนำที่ Neutral

ภายหลังปรับลดประมาณการ อิง DCF ปรับไปใช้ FV ปี 2567 ที่ 48 บาท แม้แนวโน้ม 4Q66 ฟื้นตัวตามฤดูกาล แต่ราคาหุ้นซื้อขายบน PER ที่ 40.5 เท่า คิดเป็น PEG ราว 1.9 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยปี 2557 – 2561 ประกอบกับทิศทาง ROA และ ROE ปี 2567 ที่ 2.8% และ 7.4% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 2557 – 2561 ที่ 7.2% และ 17.7% ตามลำดับ จึงมองราคาหุ้นสะท้อนการเติบโตในอนาคตแล้ว ขณะที่ความคลุมเครือของการดำเนินงานโรงแรมในญี่ปุ่นและมัลดีฟส์ คาดเป็นแรงกดดันต่อราคาหุ้น อีกทั้งหากในอนาคตกำไรยังไม่เป็นไปตามที่ตลาดประเมิน มีโอกาสถูก De-rated PER จากตลาดสูง คงมุมมองชอบน้อยสุดในกลุ่มท่องเที่ยว ตามเดิม                             

คงประมาณการ และ FV ปี 2567 ที่ 18 บาท/หุ้น ทิศางกำไรในช่วงสั้นคาดจะเริ่มลดลงใน 4Q66 สอดคล้องกับภาพรวมของกลุ่มโรงไฟฟ้า รวมถึงภาพใหญ่ปี 2567 คาดเห็นการอ่อนตัวลงจากฐานสูงในปีนี้ เน้นหาจังหวะสะสมลงทุนสำหรับการลงทุนเพื่อรับปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งคาดหวัง dividend yield กว่า 4%/ปี

คงประมาณการ และปรับปรุงสมมติฐาน WACC ใหม่ขึ้นมาอยู่ที่ 6.5% จากเดิม 4.7% เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดปัจจุบันที่มีความผันผวนสูง รวมถึงปรับไปใช้ FV ปี 2567 ที่ 55 บาท แม้ราคาปัจจุบันจะมี upside สูง แต่ปัจจัยพื้นฐานระยะยาวยังเห็นกำไรอ่อนตัว กดจากธุรกิจหลักโรงไฟฟ้าที่ Adder ที่เริ่มทยอยหมด เน้นหาจังหวะ Tradidding ช่วงสั้นตามรอบกระแสนโยบาย EV จะปลอดภัยกว่า 

ภาพยนตร์ไทยเรื่อง “สัปเหร่อ” และ “ธี่หยด” ที่ทำรายได้ถล่มทลาย ต่อด้วยภาพยนตร์ที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องจ่อคิวเตรียมเข้าฉาย จะหนุนกำไร  4Q66 ให้ออกมาโดดเด่นมาก ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2566 ขึ้น 41% โดยมีโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นเกราะป้องกันราคาหุ้นขาลง ประเมินราคาเหมาะสมปี 2567 วิธี DCF ได้ที่ 20.00 บาท เพิ่มน้ำหนักการลงทุนจาก Neutral เป็น Outperform   

แม้แนวโน้มกำไรในปี 2566-2568 จะลดลงตาม Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและเงินสนับสนุนค่า Adder โรงไฟฟ้าที่หมดลงในปี 2568 แต่ราคาหุ้นปัจจุบันที่มี Valuation ต่ำมาก วัดจากค่า PER และ PBV พร้อมให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับที่น่าจูงใจมากกว่า 4% ต่อปี แนะนำ Neutral ประเมินราคาเหมาะสมปี 2567 อิง PER 11 เท่า ได้ที่ 1.90 บาท 

เพื่อสะท้อนกำไรปกติงวด 3Q66 ที่มีสัดส่วนราว 71% ของคาดการณ์ทั้งปี เราจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2566 – 2567 ลงจากเดิมเฉลี่ย 4% เหลือ 1.96 – 2.33 พันล้านบาทตามลำดับ ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ลดจาก 47 บาท เหลือ 45 บาท (PBV  2.4 เท่า) แต่คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) คาดกำไร 4q66 จะโตดีขึ้น และ 2) ราคาหุ้นได้ปรับลงสะท้อนความกังวลต่างๆไปมากแล้ว (-60% YTD)

เพื่อสะท้อนการดำเนินงาน 3Q66 และการปรับลดกำไรของธุรกิจบริหารหนี้ ทำให้เราต้องปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2566 – 2567 ของบริษัทลงตาม เหลือ 954 ล้านบาท - 1.4 พันล้านบาทตามลำดับ โดยปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 23.6 บาท แต่คงคำแนะนำ Outperform เพราะ 1) เชื่อว่ากำไรใน 4Q66 จะฟื้นตัวขึ้นจากธุรกิจจำหน่ายมือถือ และธุรกิจบริหารหนี้ ในช่วง High season และ 2) ราคาหุ้นได้ปรับลดลงสะท้อนปัจจัยลบต่างๆไปมากแล้ว (-63% YTD)

แม้กำไร 3Q66 จะดีกว่าคาด และยังมีแนวโน้มดีขึ้นอีกใน 4Q66 แต่เชื่อว่ากำไรปกติทั้งปีมี upside จากคาดการณ์ของเราเพียง 2% - 3% ทำให้เราคงประมาณการกำไรปกติปี 2566 -67 ไว้ที่ 1.68 – 1.99 หมื่นล้านบาท และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 77.00 บาท (อิง PER 34.8 เท่า) รวมทั้งคงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากกำไร 3Q66 ที่ออกมาดีกว่าคาด และยังมีแนวโน้มที่สดใสต่อไปใน 4Q66 และ 2) เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระเป๋าตังค์ดิจิทัล